ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 332 ไอ้ขยะไปจ่ายบิลให้ฉันเดี๋ยวนี้

บทที่ 332 ไอ้ขยะไปจ่ายบิลให้ฉันเดี๋ยวนี้

ฉีเวิ่นติ่งหัวเราะ และพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจเลย สวีจิ่งหลิงชายชราคนนั้นสงบสติอารมณ์มาโดยตลอด ในวันนี้โกรธเคืองมากทางโทรศัพท์และมาบ่นกับผม”

“สวีจิ่วหลิงชายชราผู้นี้ ผมก็ถือได้ว่าเคยพบปะกับเขาจำนวนนับไม่ถ้วน” ฉีเวิ่นติ่งพูดอย่างช้าๆ ว่า “นิสัยของคนคนนี้ใจแคบมาก ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในมือของรุ่นหลังอย่างคุณ เขาคงจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไปได้อย่างง่ายดายแน่นอน”

“เขาพูดอยู่ในโทรศัพท์ว่า อยากให้ผมออกหน้าและพาคุณไปด้วย ไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ ยังพูดอีกว่า เห็นแก่หน้าผม เขาไม่ให้ตระกูลฉีของเราชดเชยเลย ตราบใดที่คุณออกหน้า ไปที่วิลล่าตงหลิงเพื่อไปขอโทษเขาและยอมรับความผิด ดังนั้นก็จะปล่อยเรื่องนี้ไป”

“แล้วคุณคิดว่าอย่างไร?” หลินอิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

“โอ้ สวีจิ่วหลิงช่างกล้าคิด คนของตระกูลฉีของเรา เคยก้มหัวให้ตระกูลสวีของพวกเขาเมื่อใด?” ฉีเวิ่นติ่งยิ้มอย่างเฉยเมย “ระเบิดเรือของตระกูลสวีของพวกเขาไป ก็ระเบิดไป สวีจิ่วหลิงอยากจะทำหน้าเศร้ามาบ่นกับผม ผมอาจพิจารณาชดเชยเงินให้ตระกูลสวี ไปขอโทษและยอมรับผิดงั้นเหรอ? ไม่มีทางเลย”

หลินอิ่งพยักหน้า รู้ว่าคุณท่านของเขา ก็ไม่ใช่คนที่พูดง่ายเหมือนกัน

พูดถึงเรื่องดังกล่าว ฉีเวิ่นติ่งก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “อิ่งเอ๋อ ที่มาในวันนี้ ผมอยากจะบอกคุณว่า คุณท่านตระกูลสวีกับผมยังมีความเป็นเพื่อนอยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่เด็ดขาดเกินไป และตัดทางของตระกูลสวีไปทั้งหมด”

“แน่นอนว่า ถ้าตระกูลสวีไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี พวกเขาจะต้องมีปัญหากับอิ่งเอ๋อให้ได้ แล้วผมจะไม่ยืนดูอยู่ข้างๆ แน่นอน แม้ว่าผมจะอายุมากแล้ว แต่ผมก็ยังมีหน้ามีตาอยู่ในทุกด้านของประเทศหลุงอยู่บ้าง”

“พูดสั้นๆ ว่า อิ่งเอ๋อ ตระกูลฉีได้ถูกส่งมอบให้กับคุณแล้ว เรื่องอะไรก็ตาม คุณปล่อยมือไปทำก็พอแล้ว รับมือไม่ไหวแล้วยังมีคุณปู่” ฉีเวิ่นติ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

“ท่านปู่ สิ่งที่คุณพูด ผมจะเชื่อฟังทั้งหมด” หลินอิ่งพยักหน้า

เขาเข้าใจถึงความรักของคุณท่านในการปกป้องลูกหลาน และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลสวีมากเกินไป และหักโหมจนเกินไป

อันที่จริง ทัศนคติของตัวเองที่มีต่อตระกูลสวีนั้น ก็เรียบง่ายมาก พอถึงจุดอันควรก็หยุด

ถ้าตระกูลสวีสามารถอดกลั้นความโกรธนี้ไปได้ เรื่องนี้ก็จะจบลง ถ้าอดกลั้นไม่ไหว งั้นก็สู้จนกว่าตระกูลสวีจะยอมใจ!

ฉีเวิ่นติ่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และหยุดพูดถึงเรื่องของตระกูลสวีอีกต่อไป

ฉีเวิ่นติ่งรู้ว่า หลานชายของตัวเอง ไม่ใช่บทบาทที่เรียบง่าย แม้แต่เขา ก็ไม่สามารถเข้าใจหลินอิ่งได้

หลินอิ่ง ได้ล้ำหน้าคนรุ่นก่อนไปนานแล้ว

เวลาต่อมา หลินอิ่งพูดคุยเรื่องทั่วไปกับฉีเวิ่นติ่งอยู่ในจื่อหลงซานสักครู่

จนกระทั่งช่วงบ่าย ถึงออกจากจื่อหลงซานไป

สองชั่วโมงต่อมา หลินอิ่งออกจากจื่อหลงซาน และเดินออกจากวงล้อม กัปตันติดอาวุธนำสมาชิกในทีมให้คำนับ และเฝ้าดูโดยรักษาความเคารพต่อหลินอิ่ง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และกำลังจะกลับไปที่จงเทียนซิงเฉิง แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล หลินอิ่ง คุณกำลังยุ่งอยู่ในตอนนี้หรือไม่?” เสียงกังวลของจางฉีโม่ ดังมาผ่านทางโทรศัพท์

“มีอะไรเหรอ?” หลินอิ่งถาม

“น้องสาวลูกพี่ลูกน้องของฉันโทรหาฉันเมื่อครู่นี้ และบอกว่าหลังจากที่เธอย้ายโรงเรียนอื่น เธอถูกเพื่อนแกล้งรังแกในงานปาร์ตี้ของเพื่อนร่วมชั้น และมีคนก็ทำให้เธออับอาย ฉันกำลังมาสืบสวนโรงงานแปรรูปเครื่องประดับของบริษัทที่อยู่แถบชานเมือง และฉันไม่สามารถไปได้ในเวลาสั้นๆ” จางฉีโม่วกล่าวว่า “คุณมีเวลาไปที่นั่นสักเที่ยวไหม?”

“ลู่จิ้งไม่มีญาติหรือเพื่อนในเมืองตี้จิง ดังนั้นมีเพียงฉันจะดูแลเธอ ฉันต้องดูแลเรื่องนี้” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ฉีโม่ คุณไม่ต้องห่วง บอกที่อยู่มาสิ ผมจะไปดูให้”

“โอเค เห็นว่าอยู่ในเมืองมหาวิทยาลัย มีพับหงเหรินก่วนอยู่แห่งหนึ่ง” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งวางสายโทรศัพท์ และสั่งให้ฮาเดสไปรับรถ

……..

ยี่สิบนาทีต่อมา

หลินอิ่งก็มาถึงเมืองมหาวิทยาลัยในเขตเขตเหยียนหวง และจอดรถไว้ที่ถนนบาร์

พับหงเหรินก่วน เป็นบาร์เหล้าขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในย่านนั้น เป็นที่โปรดของคนหนุ่มสาวจำนวนมาก และยังเป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษาในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย

หลินอิ่งเหลือบดูมัน การตกแต่งที่หรูหราของพับหงเหรินก่วน เต็มไปด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวที่ทันสมัย และบรรยากาศค่อนข้างร้อนแรง

แม้ว่าหลินอิ่งก็เป็นชายหนุ่ม แต่เขาไม่ชอบสถานที่แบบนี้เลย มันอยู่ระดับต่ำเกินไป

หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภรรยาของเขา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมาสนใจเรื่องพวกนี้

ตามที่อยู่ใน SMS ที่ฉีโม่ให้มา หลินอิ่งพาฮาเดสเข้าไปที่บาร์ และไปหาห้องเหมาที่ลู่จิ้งอยู่

ในบาร์เหล้า เสียงเพลงอันเร่าร้อนสั่นสะเทือน และกลุ่มชายและหญิงบนฟลอร์เต้นรำสั่นไหวราวกับกลุ่มปีศาจ เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร้อนแรงในทุกที่

หลินอิ่งเดินไม่กี่ก้าว และมาที่ดาดฟ้า 808 บนดาดฟ้ามีกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวแต่งตัวกัน ซึ่งส่วนใหญ่อายุประมาณ 20 ปีต้นๆ

ในหมู่พวกเขา มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าคนหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาปานกลาง และแต่งหน้าจัดๆ สวมใส่ชุดเกาะอกสีชมพู

หลินอิ่งมองไปที่ภาพถ่ายในโทรศัพท์ และยืนยันว่าเป็นน้องสาวของฉีโม่ ลู่จิ้ง

“เฮ้ ลู่จิ้ง พี่สาวของคุณรวยจริงอย่างที่คุณพูดหรือเปล่า? ยังเป็นประธานของบริษัทเครื่องประดับใช่หรือเปล่า? ” เด็กผู้หญิงบนดาดฟ้า ถามขณะดื่มไวน์จากต่างประเทศ

“ใช่ คุณพูดก่อนหน้านี้ว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของคุณมีอำนาจมากในเมืองตุงไห่ เป็นคนรวยที่มีชื่อเสียง หรือมาที่ตี้จิงเพื่อทำเรื่องธุรกิจใหญ่?” เด็กชายคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย “คุณสั่งไวน์หลายหมื่นต่อขวดพร้อมกันหลายกัน พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของคุณจะช่วยคุณจ่ายบิลได้เหรอ? ”

“พวกคุณดื่มได้โดยไม่กังวล ไม่พอก็สั่งเพิ่ม พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของฉันมีเงินมากมาย พอเธอมาแล้ว พวกคุณก็จะรู้ว่าเธอเยี่ยมแค่ไหน!” ลู่จิ้งโบกมือ แล้วพูดด้วยท่าทางที่ภูมิใจมาก

หลินอิ่งมองไปที่ฉากนี้ตามปกติ และพูดอย่างใจเย็นว่า “ลู่จิ้ง”

“ใคร? ใครเรียกฉัน?” ลู่จิ้งหันศีรษะอย่างกะทันหัน และมองที่หลินอิ่ง ด้วยท่าทางประหลาดใจ “คุณเป็นใคร?”

“หลินอิ่ง” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็นว่า

“หลินอิ่ง? คือ ทำไมถึงเป็นคุณมา? ” ลู่จิ้งดูไม่พึงพอใจเล็กน้อย ลุกขึ้นและเดินไปข้างหลินอิ่ง

เธอจะเรียกพี่สาวลูกพี่ลูกน้องจางฉีโม่มาเพื่อที่สนามสนับสนุนหน้าตาของเธอ และก็ช่วยจ่ายบิลในคืนนี้ด้วย แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่ากลับหลินอิ่งทีทมา

หลินอิ่ง เธอเคยได้ยินจากคุณป้าของเธอมานานแล้วว่าเป็นคนแบบไหน ว่าเป็นลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ที่เกาะพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอกิน ไอ้ขยะคนหนึ่งชัดๆ

“ทำไมถึงเป็นไอ้ขยะคนนี้มา? พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของฉันอยู่ที่ไหน? ” ลู่จิ้งพูดด้วยท่าทางไม่พอใจ ไม่แสดงความเคารพหรือสุภาพต่อหลินอิ่งเลยสักนิด

หลินอิ่งเหลือบมองลู่จิ้งอย่างเฉยเมย และพูดว่า “พี่น้องสาวของคุณยุ่งอยู่ และมาไม่ได้ คุณไม่ได้บอกว่ามีคนรังแกและทำให้คุณอับอายเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”

“คุณอย่าพูดไร้สาระ เรื่องของฉันมันเกี่ยวกับคุณอะไร? พี่สาวของฉันให้เงินคุณแล้วใช่ไหม? รีบไปจ่ายบิลให้ฉันเดี๋ยวนี้” ลู่จิ้งพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกคำเป็นคำสั่ง

“ทำไมต้องจ่ายเงินให้คุณด้วย” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น

“โอ๊ย คุณ คุณ? คุณรู้หรือไม่ว่าพี่สาวของฉันรักฉันแค่ไหน? คุณไม่ช่วยจ่ายเงินบิลนี้ให้ฉัน หลังจากนั้นฉันจะบอกพี่สาวของฉัน และดูว่าไอ้ขยะอย่างคุณจะสามารถอธิบายให้พี่สาวของฉันยังไง” ลู่จิ้งพูดอย่างไม่พอใจมาก “อีกอย่าง เงินของคุณก็ได้รับมาจากพี่สาวของฉัน มีอะไรผิดปกติที่ฉันขอให้คุณจ่ายบิลให้ฉัน? ไม่ได้เหรอ?”

ลู่จิ้งไม่พอใจอย่างมากกับสิ่งที่หลินอิ่งพูด แม้แต่คนที่เกาะผู้หญิงกินคนนี้ยังไม่ยอมจ่ายบิลให้ตัวเองเลยงั้นเหรอ?

หลินอิ่งเป็นคนยากจนที่ต้องพึ่งพาเกาะพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของตัวเองกิน พี่สาวลูกพี่ลูกน้องขอให้เขามาทำธุระแทน แต่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ให้เขาใช้เงินสักหน่อย ชักช้าอยู่ได้

“หลินอิ่ง คุณรีบไปจัดการเรื่องนี้ให้ฉันอย่างรวดเร็ว ได้ยินไหม? อย่าปล่อยให้ฉันจะละอายต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นของฉัน ฉันเพียงใช้จ่ายไปแปดเก้าหมื่นเองในคืนนี้ คุณเสียดายเงินใช่หรือไม่? ขี้เหนียวจริงๆ เลย เงินก็ไม่ใช่ของคุณ ฉันใช้เงินของพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของฉันทำไมเหรอ? แปดหมื่นเก้าหมื่นสำหรับพี่สาวของฉันแล้ว มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย?” ลู่จิ้งกล่าวว่าอย่างไม่สนใจเลยสักนิด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท