ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 343 คุณชายชีซิงกรุ๊ป?

บทที่ 343 คุณชายชีซิงกรุ๊ป?

เสียงพรึ๊บ แค่ชั่วครู่ บอดี้การ์ดชุดสูทสีหน้าเคร่งเครียดสิบกว่าคน ก็บุกเข้ามาล้อมโต๊ะของหลินอิ่งไว้

บอดี้การ์ดกลุ่มนี้จ้องหลินอิ่งสายตาเย็นชา พูดกันพึมพำด้วยภาษาเกาหลี

“นี่ หลินอิ่ง……” จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี มองหลินอิ่งอย่างตื่นเต้น

หลินอิ่งตักเนื้อปลาให้ฉีโม่อย่างใจเย็น

“ไม่เป็นไร ฉีโม่ ชิมปลานี้ดู รสชาติใช้ได้” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

จางฉีโม่มองดูท่าทางใจเย็นของหลินอิ่ง ในใจก็รู้สึกปลอดภัยสบายใจขึ้น ก็กินอาหารอย่างวางใจ

เผียวจื้อจางสีหน้าไม่พอใจ จ้องหน้าหลินอิ่ง ทำเสียงไม่พอใจ

“พวกนาย หามไอ้นี่ออกไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาขวางตาฉัน” เผียวจื้อจางพูดภาษาประเทศหลุง ยื่นมือชี้หน้าหลินอิ่ง

“คุณเผียว คุณอย่าทำอะไรไปเลื่อยนะ สองท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญของตระกูลนิ่งเรา” นิ่งเฟิงเยว่รีบพูด ยืนอยู่ข้างหน้าหลินอิ่ง ห้ามปรามพวกบอดี้การ์ดไม่ให้เข้ามา

นิ่งเฟิงเยว่รู้จักผู้ชายเกาหลีคนนี้ดี ทำอะไรค่อนข้างอุกอาจอวดดี

ถ้าหากทำให้หลินอิ่ง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลนิ่งโกรธขึ้นมา ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้

“เหี้ย อะไรแขกคนสำคัญของตระกูลนิ่ง? มันคือตัวอะไร? ฐานะสูงส่งกว่าฉันเหรอ?” เผียวจื้อจางโวยวายเสียงดัง สีหน้าไม่พอใจ

พูดไป เผียวจื้อจางก็มองนิ่งเฟิงเยว่ด้วยสายตาชั่วร้าย “คุณหนูนิ่ง นี่เธอกำลังดูถูกชีซิงกรุ๊ปของเราเหรอ? ครั้งที่แล้วบอกให้มาดื่มเหล้ากับผมก็ไม่ยอม วันนี้แต่งตัวยั่วยุขนาดนี้ ยังมายกถ้วยเทน้ำชาส่งสายตาให้คนอื่น? อยากเสนอตัวให้มันเหรอ? มันเป็นใคร? แน่มากเหรอ?”

นิ่งเฟิงเยว่โดนคำพูดของเผียวจื้อจางทำให้หน้าแดง เธอเคยคิดว่าจะเสนอตัวให้หลินอิ่ง แต่ถูกหลินอิ่งปฏิเสธ

“คุณเผียว พูดจาระวังคำพูดด้วย ฉันว่าคุณเมาแล้ว ถ้าโวยวายแบบนี้ต่อ เดี๋ยวคุณจะจบไม่สวย” นิ่งเฟิงเยว่พูดจริงจัง

“พูดมากจริงๆ ฉันว่าธุรกิจระหว่างพ่อเธอกับชีซิงกรุ๊ป ไม่ต้องคุยแล้ว ต้อนรับอะไรกันเนี่ย” เผียวจื้อจางพูด สีหน้ายโสโอหัง

พูดไป หน้าอันอวบอ้วนของเผียวจื้อจางก็ยิ้ม หันไปมองจางฉีโม่ ยื่นมือจะไปจับหน้าเธอ

“สาวสวยท่านนี้ ผมชื่อเผียวจื้อจาง มาจากประเทศเกาหลี เป็นคุณชายของชีซิงกรุ๊ป รู้จักกันหน่อยได้ไหม?”

เผียวจื้อจางหน้าตาแบบคนเกาหลีทั่วไป ท่าทางน่าขยะแขยง

จางฉีโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “คุณ ฉันไม่รู้จักคุณ ช่วยเคารพกันด้วย”

“เคารพกันเหรอ? คุณชายอย่างฉันถูกใจสาวประเทศหลุงอันต่ำต้อยอย่างเธอ ถือว่าบุญของเธอแล้ว ผู้หญิงประเทศหลุงอย่างพวกเธอ ทุกครั้งก็แกล้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่ยอมขึ้นเตียง พอเห็นอำนาจเงินทองของฉันแล้ว ก็ยอมขึ้นเตียงอย่างเชื่อฟัง ฉันว่าเธอก็เหมือนกัน?” เผียวจื้อจางพูดอย่างไม่พอใจ สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ

“ไอ้ผู้หญิงสำส่อนยังทำตัวไร้เดียงสา ยอมฉันดีๆ” เผียวจื้อจางสายตาเต็มไปด้วยความโมโห ยกมือจะตบหน้าจางฉีโม่

เพี๊ยะ

หลินอิ่งลุกขึ้น หยิบถ้วยบนโต๊ะใบหนึ่ง ตบไปที่หน้าของเผียวจื้อจาง

เสียงแพร้งพร้าง เผียวจื้อจางล้มตีลังกา กลิ้งอยู่บนพื้น ท่าทางซมซาน

ถ้วยตบเข้าที่หน้าเขา หัวถูกกระแทกจนมีรอยเลือด มีเลือดซึมออกมา หน้าแดงแสบร้อน มีเม็ดข้าวติดอยู่ด้วย ดูแล้วน่าตลก

เผียวจื้อจางเจ็บจนร้องโอดโอย พูดภาษาเกาหลียาวเหยียด

“กล้าทำร้ายฉัน พวกนายเอาไอ้นี่ให้ตายไปเลย”

เสียงดังฮวั๊ก บอดี้การ์ดเกาหลีสองคนพุ่งเข้าหาหลินอิ่ง หลินอิ่งสะบัดมือ จับไหล่ของพวกเขาไว้ วินาทีเดียว ก็ทำให้ไหล่ของทั้งสองหัก ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ล้มนอนไปกับพื้น

“นี่มัน”

คราวนี้ ทำให้กลุ่มบอดี้การ์ดเกาหลีของเผียวจื้อจางตะลึงไปทันที มองหลินด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้น ทุกคนก็ยื่นมือเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำท่าจะหยิบปืนพร้อมกันทุกคน

ปังปังปังปัง

ปืนของพวกเขายังไม่ได้หยิบออกมา หลินอิ่งขยับตัว พุ่งออกไปตั้งนานแล้ว เสียงหมัดดังขึ้น เสียงลมกระแทกกัน เข้าเนื้อทุกหมัด เพียงเสี้ยววินาทีบอดี้การ์ดเกาหลีก็ล้มลงกับพื้นทุกคน

“เอื้อกอ๊าก”

“อู๊ด”

บอดี้การ์ดนอนอยู่กับพื้น ร้องด้วยความเจ็บปวด

ในสายตาพวกเขาทุกคน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ชายหนุ่มประเทศหลุงคนนี้เก่งกาจมาก หมัดเดียวลงมาท่าทางของเขายังมองไม่ชัด ก็ทำเอาพวกเขาแต่ละคนเหมือนถูกรถชน กวาดเรียบทุกคนซึ่งเป็นบอดี้การ์ดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เจ็บปวดเหมือนกระดูกแยกออกจากกัน

“อ๊าก แกเป็นใคร” เผียวจื้อจางร้องอย่างตกใจ มองหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

หลินอิ่งสายตาเย็นชา ตบฝุ่นในมือ

มื้ออาหารดีๆ ถูกไอ้หน้าโง่นี่ทำลายหมด

“เมายังไม่ตื่นใช่ไหม? ผู้หญิงของฉันแกยังกล้าแตะ?” หลินอิ่งมองเผียวจื้อจางสายตาเย็นชา หยิบกาน้ำชาขึ้น

“แก แกเป็นใคร? ฉันบอกแกนะ ฉันเป็นคุณชายของชีซิงกรุ๊ป ชีซิงกรุ๊ปเคยได้ยินไหม?” เผียวจื้อจางพูดอย่างไม่พอใจ

“กล้าทำร้ายฉัน แกคุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ถ้าฉันบอกพี่ชายฉันเมื่อไหร่ แกได้ตายแน่” เผียวจื้อจางโวยวายเสียงดัง ท่าทางอวดดีไม่กลัวใคร

“คุณชายชีซิงกรุ๊ป?” หลินอิ่งยิ้มมุมปาก

หลินอิ่งยื่นมือ ดึงตัวเผียวจื้อจาง กดหน้าอ้วนเหมือนหมูของเขาไว้บนโต๊ะ

จากนั้น หลินอิ่งสะบัดมือ ก็เอากาน้ำชาร้อนทับไว้บนฝ่ามือของหลินจื้จาง น้ำชาที่ร้อนระอุก็เทลงไป

“อู๊ดอ๊าก”

เผียวจื้อจางร้องเสียงดังเหมือนหมูถูกเชือด ฝ่ามือแดงบวมขึ้นทันทีเมื่อถูกน้ำร้อนลวก อยากดึงแขนที่สั่นด้วยความเจ็บปวดกลับ แต่ถูกหลินอิ่งกดไว้ขยับไม่ได้

หน้าตาเขาบูดเบี้ยว เนื้อตัวสั่นไปทั้งร่าง เจ็บจนสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว

“ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร จำไว้ ของบางอย่าง แกแตะต้องไม่ได้” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย น้ำเสียงเย็นชาจนทำให้คนฟังตัวสั่น

“ฉัน ฉัน……”

เผียวจื้อจางปากกระตุก พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ

น้ำชาร้อนเทลงมาแบบนี้ ทำให้มือของเขาบวมเหมือนขาหมู พุพองเป็นหนองน้ำ ดูน่ากลัว

เวลาเดียวกัน ถูกน้ำร้อนสาดลงไป หน้าของเผียวจื้อจางที่มีอาการเมาก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ปกติขึ้นไม่น้อย ทำให้เขาตื่นจากอาการเมาแล้ว

“อ๊ากอ๊าก แกกล้าทำลายมือฉัน ฉัน ฉันจะฆ่าแก” เมื่อเผียวจื้อจางเริ่มตื่นจากอาการเมา สายตาก็เต็มไปด้วยความโกรธ โวยวายเสียงดัง

“ฉันเป็นคุณชายของชีซิงกรุ๊ปแห่งเกาหลี กล้าทำร้ายฉันเหรอ แกตายแน่”

เพี๊ยะ

หลินอิ่งสะบัดมือตบหน้าเผียวจื้อจาง ตบหน้าเขาเลือดอาบปาก ฟันหลุดไปสองซี่

“ร้องอีก ตาย” หลินอิ่งพูดสั้นๆอย่างเย็นชา ทำให้เผียวจื้อจางตกใจรีบหุบปาก สายตาหวาดกลัว

อะไรชีซิงกรุ๊ปนั่น หลินอิ่งฟังจนเบื่อ

เกาหลีชีซิงกรุ๊ปชื่อดังค่อนข้างดัง เป็นหนึ่งในสามของบริษัทระดับใหญ่ในเกาหลี ครอบคลุมแวดวงการเมือง กฎหมาย ธุรกิจ โลกแห่งความมืด หนึ่งในบริษัทควบคุมวงการธุรกิจที่อยู่เบื้องหลัง

สิ่งที่โด่งดังที่สุดของชีซิงกรุ๊ปก็คือวิจัยและผลิตมือถือชีซิง มียอดขายและชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก

แต่ว่า หลินอิ่งไม่เคยสนใจเบื้องหลังอำนาจหรือบริษัทใดๆทั้งนั้น

คนเกาหลีคนนี้อย่างลงไม้ลงมือกับฉีโม่ ก็คือรนหาที่ตาย

“ประธานหลิน นี่ ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”

เวลานี้ นิ่งจองอู่ที่ได้ยินเสียงร้องของเผียวจื้อจาง ก็รีบวิ่งเข้ามาดู มองภาพนี้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท