ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่362 มังกรสองตัวไม่เจอกัน

บทที่362 มังกรสองตัวไม่เจอกัน

มังกรสองตัวไม่เจอกัน

หลินอิ่งจ้องมองชายชราในชุดนักเต๋าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มังกรสองตัวไม่เจอกัน”

นี่คือรหัสลับของแก๊งมังกร

มังกรสองตัวไม่เจอกันคือคำสอนของประมุขแก๊งมังกรคนก่อน และเป็นรหัสลับที่ไว้ขับเคลื่อนแก๊งมังกรเหมือนกัน

พอได้ยินแบบนั้น ชายชราในชุดนักเต๋าก็ทำหน้าตกใจทันที ในขณะที่พิจารณาหลินอิ่งอยู่นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรอีก

“ผู้มาเยือน นี่มันหมายความว่ายังไง?” ชายชราในชุดนักเต๋าถามไปด้วยความสงสัย “ข้าน้อยคือเชียนซิง ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพื่ออะไรครับ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือไปจับข้อมือของเต๋าสือเชียนซิง

จากนั้นเขาก็ปล่อยมือ พร้อมกับความสงสัยในใจ

เต๋าสือเชียนซิงเป็นแค่คนธรรมดา กระดูกและกล้ามเนื้อทั่วร่างนั้นปกติดี ไม่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ใดๆ มาก่อน

แบบนี้ก็แสดงว่าเต๋าสือเชียนซิงไม่ใช่คนของแก๊งมังกร

“เต๋าสือเชียนซิง คุณมาอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

เต๋าสือเชียนซิงทำหน้าสงสัย แล้วตอบไปว่า “ประมาณปีกว่าๆ”

“ถ้าอย่างนั้น ก่อนหน้านั่นที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้มีใครอยู่มาก่อนเหรอครับ?” หลินอิ่งถามต่อ

เต๋าสือเชียนซิงหยุดคิดไปแปบหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เมื่อก่อนฉันอยู่ที่วัดเต๋าหลิงเป่าในเขตเหยียนหวง หนึ่งปีก่อนก็ระหกระเหินมาถึงที่นี่ เมื่อก่อนที่นี่ก็เป็นแค่วัดล้างเก่าๆ เท่านั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นดูแลที่นี่”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็เดินจากไป

นักบวชเฒ่าคนนี้ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องอะไร

เขาจึงตัดสินใจจะเข้าไปถามคนที่อาศัยอยู่ในเมื่อโบราณดู ไปสืบหาดูว่าก่อนหน้านี้มีใครอาศัยอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้กันแน่

มันค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกัน

แก๊งมังกรมีคำสั่งเด็ดขาดออกมาว่า ก่อนที่เขาจะลงจากภูเขา ห้ามไม่ให้สมาชิกทุกคนของแก๊งมังกรมีการเคลื่อนไหวเด็ดขาด ให้ทุกคนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ปกปิดทุกอย่างเอาไว้

ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของประมุขคนก่อนเลย

แล้วทำไมยามมังกรเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในตี้จิงถึงหายตัวไปได้ล่ะ?

หรือว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับแก๊งมังกรจริงๆ ใช่มั้ย?

ระหว่างที่ใช้ความคิด หลินอิ่งก็เดินออกจากวัดเต๋าซานซิง พาฮาเดสไปที่รถ

เมื่อเดินไปถึงที่เบนท์ลีย์คันดำ จู่ๆ คิ้วของหลินอิ่งก็กระตุกขึ้นมา เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังทันที

“หลบ!”

หลินอิ่งผลักฮาเดสให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปทันที

ตู้ม!

รถคันนั้นเกิดระเบิดพร้อมกับไฟที่พุ่งออกมาทันที เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ!

ความร้อนจากลูกไฟระเบิดออก จนกลายเป็นกองไฟขนาดใหญ่ พริบตาเดียวก็ลามไปในระยะยี่สิบสามสิบเมตรของถนนทันที

แรงระเบิดสร้างความเสียหายอย่างหนัก ระเบิดจนปูนที่อยู่บนพื้นและกำแพงแตกไปหมด เศษหินกระเด็นไปทั่ว แม้แต่บ้านดินขนาดเล็กที่อยู่รอบๆ ต้องพังทลายลงไปทันที!

หลังจากแสงจากการระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวผ่านไป รอบบริเวณเละเทะไปหมด ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

รถเบนท์ลีย์คันนั่นได้ถูกระเบิดเป็นจุณไปแล้ว หลังจากเสียงระเบิดผ่านไปในระยะสิบกว่าเมตร รถสีดำถูกเผาอยู่ในลูกไฟกองโต

ท่ามกลางกลุ่มควันโขมง เงาที่เยือกเย็นของหลินอิงก็ปรากฏตัวขึ้น

เขาปัดฝุ่นบนตัวออก มีสะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งหนีบไว้ที่นิ้ว

“เป็นวิธีที่โหดมาก” หลินอิ่งดีดสะเก็ดระเบิดในมือออกไป หลินอิ่งส่งสายตาที่อาฆาตออกมา

“เอื้อ!”

ฮาเดสโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขากำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด

หลินอิ่งเขาเข้าไป พยุงฮาเดสขึ้นมา มองไปที่บาดแผล มีสะเก็ดหลายแผ่นบาดแขนขาของเขาจนเป็นแผล โชคยังดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต

เมื่อกี้ฮาเดสอยู่ในระยะของระเบิด ถ้าไม่ใช่เพราะสมรรถนะร่างกายของเขาพัฒนาถึงขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วละก็ เขาคงถูกระเบิดจนเละและตายไปแล้ว

“ประธานหลิน ผมยังทนไหว” ฮาเดสพูดออกมาในขณะที่หายใจหอบ แววตาโกรธแค้น “ไม่รู้ว่าหมาตัวไหนเป็นคนทำถึงขั้นแอบติดตั้งระเบิดเพื่อลอบสังหารผม!”

“ต้องขออภัยด้วยครับ เป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ไม่ทันได้รู้ตัว จนเกือบกลายเป็นความผิดอย่างมหันต์ไปแล้ว” ฮาเดสก้มหน้าแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด

คนที่เป็นถึงราชาสายลับมาอย่างยาวนานอย่างฮาเดส กับเหตุการณ์แบบนี้เขาเองก็เห็นมานัดต่อนัดแล้ว

การที่มีคนแอบมาติดตั้งระเบิดใต้จมูกเขาแบบนี้ แต่เขากลับไม่รู้ตัว ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายต่อหน้าประธานหลินจริงๆ!

หลินอิ่งทำหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้โทษฮาเดส เพราะฮาเดสไม่สามารถสัมผัสถึงนักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ได้เลย

ซิ่ว!

หลินอิ่งขยับตัว แหวกผ่านอากาศ พุ่งกลับไปที่วัดเต๋าซานซิงอย่างรวดเร็ว

ภายในวัดไม่เหลือใครแล้ว เต๋าสือเชียนซิงเมื่อกี้ได้หายตัวไปแล้ว……

แววตาของหลินอิ่งเย็นเยือก รู้สึกโกรธเกรี้ยว ต่อให้ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งหมดมาช่วยก็ไม่อาจดับได้!

กล้าหลอกเขาอย่างนั้นเหรอ!

“คนที่แอบดูอยู่ในที่ลับ แล้วแอบไปติดตั้งระเบิด น่าจะยังไม่ได้ออกจากเมืองโบราณ และยังไม่น่าจะพาเต๋าสือเชียนซิงออกไปได้เร็วขนาดนั้น” หลินอิ่งพูดกับตัวเอง แววตาลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ

เขากวาดตามองไป เก็บทุกอย่างที่มองเห็นเข้าไปในหัว จดจำทิศทาง ค่อยๆ หลับตาลง จินตนาการถึงหน้าตาและรูปร่างของเต๋าสือเชียนซิง แล้วใช้นิ้วคำนวณอย่างมีหลักการ

หลินอิ่งพอรู้จักการคำนวณทั้งห้าแบบมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาใช้นิ้วคำนวณ จนได้ข้อสรุปออกมาข้อหนึ่ง นี่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของปราชญาลัทธิเต๋า เพื่อใช้ในการตามหาคนหรือสิ่งของ บางทีมันก็ได้ผลอย่างน่าเหลือเชื่อ

………

ณ เมืองโบราณ ภายในลานเล็กๆ ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง

คนชุดดำสามคนพุ่งเข้าไปลานอย่างรวดเร็ว ตุบ โยนกระสอบผ้าใบหนึ่งลงกลางลานนั้น

มีชายชราที่ใส่ชุดนักบวชคนหนึ่งกลิ้งออกมาจากกระสอบผ้า เขาอยู่ในสภาพที่สลบสไลด์ไม่ได้สติ

“ท่านปรมาจารย์ จะให้จัดการกับนักบวชคนนี้ยังไงดีครับ?” คนชุดดำคนหนึ่งถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง

คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “ต้องฆ่าปิดปาก พาตัวไปก่อน ออกจากอำเภอหลงซิงก่อนค่อยฆ่าทิ้ง แล้วเอาไปทิ้งในแม่น้ำ”

“ครับ” คนชุดดำพยักหน้า จากนั้นก็ถามต่อว่า “ท่านปรมาจารย์ครับ คนคนนั้นเป็นใครเหรอครับ? เขารู้รหัสลับของแก๊งมังกรของเราด้วย เขาเป็นผู้สืบทอดของประมุขแก๊งจริงๆ เหรอครับ?”

ปรมาจารย์จ้องมองคนชุดดำด้วยสายตาที่เย็นเยือก แล้วตอบไปว่า “พวกแกลืมไปแล้วเหรอ? ประมุขแก๊งเคยบอกไว้ว่า ประมุขแก๊งไม่มีผู้สืบทอด คนคนนี้เป็นแค่ผู้ทรยศคนหนึ่งของแก๊งมังกรเท่านั้น! ถ้าไม่อยากตายก็จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าแก๊งมังกรนั้นมีประมุขแค่คนเดียวตลอดไป! ถ้าออกไปพูดมั่วๆ ด้านนอกระวังจะถูกลงโทษเพราะก่อความวุ่นวายก็ได้นะ!”

“ท่านปรมาจารย์ ผมเข้าใจแล้วครับ!” คนชุดดำก้มหน้าลงพร้อมกับเหงื่อที่เต็มหน้าผาก

สำหรับเรื่องของประมุขแก๊งแล้ว จะเอาไปพูดมั่วๆ ไม่ได้ ถ้าเผลอพูดอะไรผิดไปความบรรลัยก็จะมาเยือนทันที!

“คนคนนี้มีไหวพริบที่ดีมาก ฝีมือก็เก่งเกินคน สามารถหนีรอดจากระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้ในรถด้วย แถมยังรู้ที่ซ่อนของยามมังกรเขียวด้วย และยังรู้ถึงรหัสลับของแก๊งมังกรอีก” สายตาของปรมาจารย์เป็นประกาย แล้วให้การสันนิษฐานว่า “คนคนนี้ น่าจะเป็นผู้ทรยศของแก๊งมังกรคนนั้นแหละ!”

“ไอ้ทรยศนั่นได้เรียนรู้สิ่งมากมายจากประมุขคนก่อน แม้แต่ประมุขคนก่อนยังถูกมันหลอกจนหายสาบสูญไปที่ต่างแดน ด้วยศิลปะการต่อสู้ที่พวกเรามี ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้หรอก เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าประตูโดยเร็ว จากนั้นค่อยให้ท่านประมุขแก๊งตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ” ปรมาจารย์พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

ในตอนที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีลมพัดผ่านในลานบ้าน

ภายในลานบ้านอบอวลไปด้วยจิตสังหาร

คนยังไม่ทันถึง ลมก็พัดมาก่อนแล้ว

คนชุดดำที่อยู่ในลานบ้าน ต่างก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ขนลุกไปทั้งตัว

ถ้าจอมยุทธคนหนึ่งพัฒนาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถทำให้เกิดการสั่นสะเทือนแหวกน้ำแหวกอากาศได้ ต่อให้อยู่ห่างไปหนึ่งช่วงถนนก็ยังสามารถส่งจิตสังหารมาข่มคนได้

โดยเฉพาะคนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างพวกเขา ยิ่งทำให้สัมผัสถึงจิตสังหารแบบนี้ได้ชัดเจนขึ้น

ก็เหมือนกับคนประเภทเดียวกันที่สามารถสัมผัสถึงคนประเภทเดียวกันได้ เมื่อเสือโกรธ เสียงลมกลางภูเขาก็ต้องเกิดเสียงดังด้วยเหมือนกัน ความผิดปกติแบบนี้ ไม่บอกก็รู้ว่าเกิดจากอะไร

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้านอย่างช้าๆ

หลินอิ่งมาแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว อากาศรอบๆ ก็เหมือนจะหยุดนิ่งไป บรรยากาศรอบๆ กดดันจนถึงสุดขีด

คนชุดดำทั้งสามไม่กล้าจ้องมองดวงตาที่เยือกเย็นจนชวนสิ้นหวังของหลินอิ่ง เอาแต่ก้มหน้า ร่างกายสั่นรัวไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ บรรยากาศอันยิ่งใหญ่ที่ส่งออกจากตัวของหลินอิ่งนั้นทำให้พวกเขาสั่นไปจนถึงวิญญาณ!

“บอกทุกอย่างที่พวกคุณรู้มาให้หมด ไม่อย่างนั้นตาย!”

หลินอิ่งยืนเอามือไขว้หลัง พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท