ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 341 ไปผ่อนคลายเป็นเพื่อนคุณ

บทที่ 341 ไปผ่อนคลายเป็นเพื่อนคุณ

จ้าวหลินเอ๋อร์สายตาเย็นชา จ้องไปที่จางฉีโม่ สีหน้าโมโห

เธอคิดไม่ถึง จางฉีโม่จะกล้าพูดจากับเธอแบบนี้

“เหอะ กล้ามากนะ? แล้วมันมีประโยชน์อะไร?” จ้าวหลินเอ๋อร์ตั้งใจพูด “เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ฉีหยิ่นเก็บไว้นอกบ้าน ส่วนฉัน เป็นภรรยาที่แท้จริงของเขา”

“เธอจะวาดฝันว่าหลินอิ่งเป็นผู้ชายของเธอ ก็ไม่มีประโยชน์”

“เท่าที่ฉันรู้ เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะได้เจอฉีหยิ่น มีเขาคอยช่วยเธอวางแผน มีเขาคอยหนุนหลังเธอ เธอจะมีที่นั่งในแวดวงธุรกิจเมืองตงไห่เหรอ?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดจาเสียดสี

จางฉีโม่กำหมัดไว้แน่ ไม่ได้พูดอะไร

จ้าวหลินเอ๋อร์สังเกตเห็นท่าทางของจางฉีโม่ หัวเราะเย็นชา จากนั้นก็พูดว่า “ฉันบอกเธอละกัน เธอกับฉีหยิ่นเป็นคนเส้นทางเดียวกันหรือเปล่า ฉีหยิ่น เป็นทายาทของตระกูลฉีแห่งตี้จิง เป็นผู้มีอำนาจของตระกูลฉี ส่วนฉัน จ้าวหลินเอ๋อร์ เป็นคุณหนูแห่งตระกูลจ้าว เป็นภรรยาตัวจริงที่มีสัญญามั่นหมายกับฉีหยิ่น”

“ตอนนี้ฉีหยิ่นกำลังต่อสู้กับตระกูลสวีแห่งตี้จิง ต้องแบกรับความกดดันมากแค่ไหนเธอรู้ไหม? ถ้าหาเขาพ่ายแพ้จากการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะสูญเสียทุกอย่าง ไม่มีโอกาสพลิกผันอีก แล้วเธอช่วยอะไรฉีหยิ่นได้? นอกจากคอยถ่วงเขา?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “ส่วนฉัน สามารถช่วยเหลือฉีหยิ่นให้ประสบความสำเร็จได้ ช่วยเขาขจัดสิ่งกีดขวางได้”

“ตระกูลฉี ฉีหยิ่น……” จางฉีโม่พึมพำ คิดถึงข่าวลือที่เคยได้ยิน

แน่นอน หลินอิ่ง เป็นเหมือนที่เธอคาดเดา ฐานะตระกูลผู้ดีแห่งตี้จิง อำนาจและความร่ำรวยมากเกินขอบเขตที่เธอจะสามารถรู้ได้

หลินอิ่งกำลังแบกรับความกดดันมหาศาล? กำลังแข่งขันกับตระกูลอื่น?

ปฏิกิริยาแรกคือ จางฉีโม่กังวลวิกฤติของหลินอิ่ง

หลินอิ่งต้องทนรับความกดดันมากเหรอ? เธอ สามารถทำอะไรให้หลินอิ่งได้บ้าง?

แน่นอน คำพูดของจ้าวหลินเอ๋อร์ ทิ่มแทงใจทุกคำ จนทำให้จางฉีโม่เจ็บปวด

จางฉีโม่อดที่จะรู้สึกสงสัยในตัวเองไม่ได้ รู้สึกตัวเองมีปมด้อย เธอ คู่ควรกับหลินอิ่งไหม?

ในความทรงจำของเธอ ทุกครั้งจะเป็นหลินอิ่งที่คอยสนับสนุนเธอ ช่วยเหลือเธอ ส่วนหลินอิ่งไม่เคยต้องการให้เธอช่วยเลย……

“จางฉีโม่ ถ้าไม่ได้เห็นแก่หลินอิ่ง ฉันก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายมาพูดกับยายบ้านนอกอย่างเธอเลย ส่วนเธอเอง ก็รู้ตัวไว้ด้วย……”จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะพูดอย่างเย็นชา ยังอยากต่อว่าจางฉีโม่ต่อ

“หุบปาก”

ตอนนี้เอง เสียงต่อว่าอย่างโมโหดังขึ้น พูดตัดเธอขึ้นมา ทำให้เธอตกใจจนตัวสั่น หันไปมอง

หลินอิ่งสายตาเย็นชา ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำดูสง่า เดินเข้ามาจากประตู

เขาได้รับรายงานจากถูซาน ได้ยินว่าจ้าวหลินเอ๋อร์มาจงเทียนซิงเฉิง ก็รีบมาที่โรงแรมจงเทียนทันที

“หลินอิ่ง…….” จางฉีโม่เห็นหน้าหลินอิ่งแล้ว ถึงรู้สึกวางใจ

“ฉีหยิ่น คุณยอมออกมาเจอหน้าแล้วเหรอ พอดีเลย อยู่พร้อมหน้า จะได้พูดทุกอย่างให้ชัดเจนไปเลย” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเชื่องช้า

“คุณยังไม่ยอมหยุดใช่ไหม?” หลินอิ่งมองจ้าวหลินเอ๋อร์ด้วยสายตาเย็นชา

ต่อหน้าสายตาอันเย็นชาคู่นี้ ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์ก็รู้สึกกลัว ตัวสั่นเล็กน้อย

“คุณนี่ไม่รู้จักเบื่อใช่ไหม ผมเคยพูดแล้ว ว่าอย่ามายุ่งกับชีวิตผมอีก” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “คุณ อย่ายั่วโมโหผม สัญญาในอดีต ผม จะไปที่ตระกูลจ้าวด้วยตัวเอง”

พูดจบ หลินอิ่งจูงมือจางฉีโม่ที่ตะลึงอยู่ เดินออกไป

“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องสนใจเธอ” หลินอิ่งมองจางฉีโม่ พูดเสียงเบา

จางฉีโม่รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”

“ฉีหยิ่น คุณ!”

จ้าวหลินเอ๋อร์มองร่างที่หลินอิ่งที่เดินจากไป ความรู้สึกอิจฉาในใจก็ถูกจุดประกายขึ้น

ฉีหยิ่นด่าเธอโดยไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น ไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะ ยังทำตัวอ่อนโยนเอาใจใส่สาวบ้านนอกอย่างจางฉีโม่อีก มันเป็นเพราะอะไร?

จ้าวหลินเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความโกรธ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีใครเคยทำกับเธอแบบนี้

เธอก็ไม่เข้าเหมือนกัน เธอไม่ดีตรงไหน? ดูจากรูปร่างหน้าตา ไม่ว่าจะเทียบอะไร เธอก็ไม่มีอะไรที่สู้จางฉีโม่ไม่ได้

“ฉีหยิ่น นายต้องเสียใจแน่” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเย็นชา กำหมัดตัวเองไว้แน่น พูดอย่างเย็นชา

ส่วนหลินอิ่งฟังคำพูดของเธอไม่เข้าเลยแม้แต่น้อย พาจางฉีโม่เดินออกจากร้านกาแฟ

“โทรหาพี่ชายฉัน บอกเขาว่าฉันถูกรังแก ให้เขารีบกลับมาจากต่างประเทศ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดกับบอดี้การ์ดผู้หญิงสองคน ด้วยสีหน้าผิดหวัง

“จะโทร โทรหาคุณชายใหญ่จริงเหรอคะ? อย่างนี้จะทำให้เรื่องใหญ่ไปไหม?” บอดี้การ์ดหญิงข้างกายถามอย่างสงสัย

พี่ชายของจ้าวหลินเอ๋อร์ เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่โด่งดังในตี้จิง และเป็นคนเดียวในตี้จิง ที่ได้นั่งตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดของวงตระกูลที่ฝีมือร้ายกาจ

คนคนนี้เป็นชายหนุ่มมากความสามารถ อยู่เหนือทุกคนในวัยเดียวกันนานแล้ว เด็ดขาดโหดเหี้ยม ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างหวาดกลัว

โดยเฉพาะ คุณชายใหญ่รักและหวงน้องสาวตัวเองมาก ถ้าให้คุณชายใหญ่รู้ว่าน้องสาวตัวเองถูกรังแก แบบนี้คงต้องพลิกแผ่นดินทั้งตี้จิงแน่นอน?

ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฉีหยิ่นที่สะเทือนตี้จิงได้ คุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวท่านนี้ เกรงว่าจะไม่ยอมเหมือนกัน คงต้องสู้กันเอาเป็นเอาตายแน่

“ทำตามก็พอ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดจริงจัง เบ้ปากอย่างไม่พอใจ

เธอรู้สึกว่า ต้องทำให้ฉีหยิ่นรู้บ้าง ทำให้ฉีหยิ่นรู้ไว้ว่าในตี้จิงนี้ไม่ใช่ไม่มีใครสู้เขาได้ ถ้าถูกสั่งสอนแล้ว ความหยิ่งยโสของเขาก็คงจะดีขึ้นบ้าง

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งออกจากร้านกาแฟ พาจางฉีโม่ขึ้นรถBentleyสีดำ นั่งบนที่นั่งคนขับและขับรถเอง

ฮาเดสถูกส่งไปช่วยงานถังฮุยจัดการเรื่องที่เขตหัวหยาง ข้างกายเขาก็ไม่มีบอดี้การ์ดคนขับรถที่เหมาะสม

จางฉีโม่นั่งเงียบอยู่ที่นั่งข้างคนขับ เปิดปากพูด “หลินอิ่ง คุณเป็นคนตระกูลฉี? ชื่อจริงของคุณคือฉีหยิ่น?”

“หลินอิ่ง ก็คือชื่อจริงของผม” หลินอิ่งใช้มือข้างเดียวจับพวงมาลัย หันไปพูดกับจางฉีโม่

“แล้วอดีตคุณ……” จางฉีโม่อยากพูดแต่ก็หยุด

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วผมไม่อยากพูดถึงอีก” หลินอิ่งพูดจริงจัง “คำพูดของจ้าวหลินเอ๋อร์ คุณไม่ต้องใส่ใจ”

“แต่ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย ทุกอย่างของคุณ ฉันไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับคุณ” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าลังเล

หลินอิ่งหันไปมองจางฉีโม่ พูดว่า “มันสำคัญเหรอ?”

“นี่……” จางฉีโม่ครุ่นคิด

เธอรู้สึกได้ถึงความหมายของหลินอิ่ง มันก็ใช่ หลินอิ่งมีที่มายังไง ในอดีตเคยผ่านอะไรมาบ้าง มันสำคัญจริงเหรอ?

ไม่ว่าจะเป็นหลินอิ่งที่อยู่ในเมืองชิงหยูน หรือจะเป็นหลินอิ่งผู้เก่งกาจในตี้จิง ต่อหน้าจางฉีโม่ เขาไม่เคยเปลี่ยน

ถ้าอย่างนั้น จะไปหนักใจกับเรื่องพวกนี้ทำไม? ขอแค่หลินอิ่งดีกับเธอเสมอต้นเสมอปลายก็พอ

คิดถึงตรงนี้ จางฉีโม่ยิ้มอย่างวางใจ ความรู้สึกไม่พอใจเมื่อครู่ก็จางไปไม่น้อย

หลินอิ่งก็ยิ้มให้เธอ

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจางฉีโม่ เดินมาด้วยกันตลอดทาง มันเกินขีดจำกัดคนทั่วไปนานแล้ว ฐานะตำแหน่งอะไร อำนาจความร่ำรวยอะไร เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านแห่งเมืองชิงหยูน หรือฉีหยิ่นแห่งตี้จิง? แล้วมันจะสำคัญอะไร?

เขาคือหลินอิ่ง ก็คือหลินอิ่ง

ลูกผู้ชายเดินรอบโลก ไม่ได้ใช้ฐานะเป็นสิ่งตัดสิน

ขอแค่จริงใจ ไม่ว่าจน หรือว่ารวย มันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย

หลินอิ่งมองจางฉีโม่ด้วยสายตาอ่อนโยน พูดว่า “ผมพาคุณไปผ่อนคลายหน่อย?”

“อืม” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“ช่วงนี้คุณยุ่งมาก ไปดูบรรยากาศแม่น้ำตี้หวาง กินข้าว ผ่อนคลายหน่อย ดีไหม?” หลินอิ่งพูด “ผมรู้จักร้านอาหารเมนูปลาข้างแม่น้ำตี้หวาง”

หลินอิ่งรู้ดี ว่าจางฉีโม่ชอบกินอาหารเมนูปลา ชอบปลาเป็นพิเศษ

“แม่น้ำตี้หวาง? ดีค่ะ ไปที่นั่นเลย” จางฉีโม่พยักหน้า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท