ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่355 ผู้นำตระกูลสวี

บทที่355 ผู้นำตระกูลสวี

ชายชุดดำรับโทรศัพท์ ยื่นโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าหลินอิ่ง

“น้องสี่ สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไง?ฉันถึงถนนตี้เจียงแล้ว ลูกชายของท่านประธานเผียวจินฮุนละ?”ด้านโทรศัพท์ ก็มีเสียง เสียงต่ำของผู้ชายวัยกลางดังมา

“พี่ใหญ่!รีบมาหอตี้เจียงช่วยผม!เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

สวีถันโจวที่ได้ยินเสียงสวีไป๋เห้อก็ตื่นเต้นขึ้นมา รีบตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“พี่ใหญ่ พี่ต้องพาคนที่เก่งของตระกูลและทหารลับมา ไม่งั้นคงจะสู้ไม่ได้!”

เพียะ!

บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งตบไปที่หน้าของสวีถันโจว ตบจนฟันหลุดไปสองซีน ตบจนเลือดเต็มปาก

“ถ้าร้องมั่วอีก ตอนนี้ก็ฆ่านายทิ้ง!”ทหารลับพูดขู่เสียงเย็น หน้าสวีถันโจวก็อายก็โกรธ ก้มลงไม่กล้าพูดอีก

“น้องสี่ นาย……”ทางโทรศัพท์น้ำเสียงสวีไป๋เห้อก็เปลี่ยนไป “นายก็คือคนที่ทำเผียวซิ่วชวนคนที่แซ่หลิน?ไม่รู้ว่านายเป็นใคร แต่ว่า ฉันเตือนนายว่าเบาหน่อย อยู่ในเขตตี้เจี้ยงของตระกูลสวี ไม่มีจุดจบหรอก!”

“น้องสี่ นายไม่ต้องกลัว วันนี้ไม่ว่ามันทำอะไรนาย ฉันก็จะมันคือนายสิบเท่า!”สวีไป๋เห้อพูดอย่างโกรธ“ฉันพาคนมาถึงถนนตี้เจี้ยงแล้ว”

“คือสิบเท่า!”หลินอิ่งหัวเราะมุมปาก

“ฉันรอนายที่ถนนตี้เจี้ยง”

หลินอิ่งวางโทรศัพท์ สีหน้านิ่งมองทุกคน

“พาไป”

พูดเสร็จ เขาก็หมุนตัวออกจากหอตี้เจียง

ทหารลับของตระกูลนิ่งก็เร่งมือขึ้น เอาพวกสวีถันโจวขึ้น พาหลังหลินอิ่ง

ออกจากหอตี้เจียง หลินอิ่งมองจางฉีโม่ที่สีหน้ากังวล พูด “ฉีโม่ มีปัญหานิดหน่อย เลยเวลาทานอาหารแล้ว รอครั้งหน้ามีโอกาส ฉันค่อยพาเธอเล่นที่ตี้เจียง วันนี้ เธอก็เหนื่อยแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”

จางฉีโม่คิดแป๊บหนึ่ง มองจ้าวหลินเอ๋อร์แวบหนึ่ง ไม่มีความไว้ใจ รู้สึกจ้าวหลินเอ๋อร์อยากจะอ่อยหลินอิ่ง ก็เหมือนด้ายเข้าเข็มรูเข้าไป ใช้พื้นที่และเวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์

แต่คิดอีกที ครั้งก่อนที่หลินอิ่งแสดง ก็คงพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาไม่สนใจจ้าวหลินเอ๋อร์ ก็คือผู้หญิงอ่อยหลินอิ่งก่อน

เธอเชื่อใจหลินอิ่ง

ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอคุมอะไรไม่ได้ ส่วนเรื่องอดีต ให้หลินอิ่งจัดการเอง

ผู้ชายจัดการ ผู้หญิงไม่เข้าใจและช่วยอะไรไม่ได้ ก็ถูกที่ไม่ต้องถามเยอะ เชื่อเขาก็พอแล้ว

จางฉีโม่พยักหน้าพูด “หลินอิ่ง นายระวังตัวด้วย”

หลินอิ่งยิ้มแล้วพูด “วางใจได้ แค่ฝูงนก”

พูดเสร็จ หลินอิ่งก็ให้ทหารลับของตระกูลนิ่งให้พวกเขาพาฉีโม่กลับจงเทียนซิงเฉิน

ต่อมา หลินอิ่งเอามือทั้งสองไว้ข้างหลัง เดินไปทางถนนตี้เจียงอย่างช้าๆ

แต่จ้าวหลินเอ๋อร์เดินตามหลังหลินอิ่งติดเหมือนกลัวว่าหลินอิ่งจะหายไป

“นายรอก่อนสิ ไม่ต้องรีบไปหาสวีไป๋เห้อก็ได้”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอยู่ข้างๆ“ฉันให้พ่อของฉันพาทหารลับของตระกูลจ้าวมาแล้ว……”

หลินอิ่งไม่สีหน้าใดๆและพูดขัดขึ้นมา “ตอนนี้เธอกลับไปได้แล้ว ”

จ้าวหลินเอ๋อร์เบะปากมีความผิดหวังตอนแรกคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ ช่วยหลินอิ่ง ให้หลินอิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง

แต่ว่า หลินอิ่งเหมือนว่าจะไม่ต้องการตัวเองช่วย แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายนี้ หลินอิ่งก็มีความสามารถอยู่ไว้ จ้าวหลินเอ๋อร์คิดๆแล้วโมโห เพราะว่าเธอนึกไม่ถึงว่าจะได้นี้ของหลินอิ่ง หลินอิ่งทำให้ตัวเองตกตะลึงมาก แต่ไม่ใช่คนที่สายตามีแต่จางฉีโม่

“แต่ฉันอุตส่าห์ใจดีมาช่วยนายนะ”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“นายไม่บอกจะเลี้ยงข้าวฉัน อย่างน้อยก็เกรงใจด้วยสิ?ยังจะไล่ฉันอีก?บ้านของพ่อฉันก็มาแล้ว ตระกูลจ้าวของพวกเราไม่เอาหน้าหรอ?”

หลินอิ่งพูดนิ่งๆ “เธอชอบตาม ตามไว้เถอะ ก็ดี จะได้ทักทายคนตระกูลพวกเธอด้วย”

“นาย!”จ้าวหลินเอ๋อร์ก็อั้นความโกรธไว้ กินริมฝีปากไว้แน่น จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาหงุดหงิด

เหมือนเธอจ้าวหลินเอ๋อร์ อยู่ตี้จิงนั้นมีแต่คนเคารพ เหมือนกับเป็นเจ้าหญิง

แต่หลินอิ่งคนนี้ กล้าที่จะไม่ชอบตัวเอง?

ตามอยู่ข้างเขาช่วยเขาขนาดนั้น ยังจะไล่คนอีก ไม่สมเหตุสมผลเลย

ก็แบบนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์เดินข้างหลินอิ่งไม่พูดอะไรอีก เดินไกลถึงทางแยกข้ามถนน

ถนนตี้เจียงโดนสวีถันโจวเคลียร์สถานที่เรียบร้อย บริเวณใกล้ก็ไม่มีอะไร เหลือแค่บอดี้การ์ดใส่สูทนอนไว้ที่ถนนแต่ละคนเต็มไปด้วยเลือด ท่าทางดูไม่ได้เลย

นี่คือก่อนหน้าที่โดนทหารลับตระกูลนิ่งจัดการ คือลูกน้องขั้นสุดยอดของโม่เฟย เมื่อเห็นหลินอิ่งพาพวกน่ากลัวเดินมา หน้าทุกคนก็เครียด หลบสายตากัน

หลินอิ่งไม่สนใจพวกที่เหมือนมด เดินเข้าถนนแยก ทางด้านไกลของถนนแยก

ตอนนี้จอดรถไมบัคไว้ประมาณยี่สิบสามสิบคัน มีคนใส่สูทดำเรียงไว้เป็นแถว สายตามองมาทางตัวเอง บรรยายอึกอัดมาก

ผู้ชายวัยกลางคนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบกว่า ใส่สูทสีเข้ม ข้างๆมีสองคนใส่เสื้อเหลืองคนแก่ไว้ เดินมาทางหลินอิ่งง

หลินอิ่งมองไปด้วยสายนิ่งๆ ผู้ชายวัยกลางนี้มีใบหน้าเหลี่ยม สายตาแหลม ไม่ความโกรธใดๆ มีออร่าคนชนชั้นสูง ดูก็รู้ว่าไม่ง่าย นี่คือออร่าความฆ่าตลอด ถึงจะมีอำนาจ ดูแล้ว นี่ก็คือเจ้าบ้านใหญ่ตระกูลสวี สวีไป๋เห้อ

สวีไป๋เห้อ ผู้นำตระกูลคนแรกของตระกูลสวี ภายใต้ตระกูลสวีหนึ่งคนในตี้จิง มากกว่าหมื่นคน มีอำนาจอยู่อย่างแน่นอน!

อยู่ในตี้จิงก็คือคนมีอำนาจมากสุดแน่นอน เขาออกหน้า ยืนอยู่นี้ ก็หมายความว่า ตระกูลสวีทุกคนในตี้จิงยืนอยู่นี้!

“นายก็คือหลินอิ่ง?”สวีไป๋เห้อใช้สายตาแหลมจ้องหลินอิ่งเปิดปากพูดอย่างช้าๆ

จากเริ่มได้รับข้อความ ในใจเขาก็รู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับหลินอิ่ง

ตีจนคุณชายชีซิงกรุ๊ปคุกเข่าขอร้อง บีบจนให้ประธานเผียวจินฮุน ที่อยู่ไกลถึงเกาหลีโกรธมาก โทรหานายท่านของตัวเองไป

อีกหนึ่งอย่างยังดูหมิ่นความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี ล้มคนของตระกูลสวีหมด?

นี่ตกลงเป็นคนมาจากไหนกันแน่?

มีความกล้ามาก!

สวีไป๋เห้ออยู่ตี้จิงมาหลายปีถือว่ารู้จักคนมากอยู่ สถานการณ์ใหญ่ก็เคยเจอไม่น้อย

แต่ว่า ยังไม่เคยเจอคนที่ทำตัวใหญ่และเก๋าขนาดนี้!

แต่ความรู้สึกของตัวเองที่ดูหลินอิ่ง มีความสงบ ทำให้คนรู้สึกหนาว

นี่ไม่ใช่คนง่ายๆแน่ ไม่เหมือนกันคนอายุยี่สิบกว่าที่จะมี

โดยเฉพาะ ดวงตาทั้งสองของหลินอิ่ง ราวก็ทะลุไปได้ในตาว่างเปล่า

“ผมก็คือหลินอิ่ง”หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

“ไอ่เด็กเมื่อวานซื่อ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!คนของตระกูลสวีก็ทำ นายอยากตายหรอ?”ข้างๆสวีไป๋โจวที่ใส่ชุดคนแก่สีเหลืองไว้ พูดด่าด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“นี่นายกำลังหาที่ตายหรอ!ยังไม่คุกเข่าต่อหน้าผู้นำตระกูลสวี ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท