ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 360 บอกความลับของฉีหยิ่นให้คุณ

บทที่ 360 บอกความลับของฉีหยิ่นให้คุณ

ชายหนุ่มคนนี้คิดจะเล่นอะไร

การต่อสู้ระหว่างตระกูลสวีกับตระกูลฉี นั่นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามระหว่างสองตระกูลมหาอำนาจแห่งตี้จิง พูดได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ?

“ช่างเถอะ เรื่องของตระกูลสวี ยังไม่ถึงกับต้องให้คนนอกมาช่วย” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยเสียงเย็นชา โบกมือส่งแขก

“นายท่านสวี ถ้าไม่ให้ผมช่วย ต้องขออภัยด้วยผมต้องพูดตามตรง คุณ ไม่ใช่คู่คงต่อสู้ของฉีหยิ่น!” กงจิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณพูดอะไร?” สวีจิ่วหลิงสายตาจ้องไว้ที่กงจิ่ว อารมณ์เหมือนไฟที่พร้อมระเบิด

นี่มันเป็นการเหยียดหยามกันซึ่งๆหน้าเลย

ช่างใจกล้ายิ่งนัก เขาสวีจิ่วหลิงมีชีวิตมาแปดสิบเก้าปี ตั้งแต่คุมตระกูลสวีแห่งตี้จิงมา ยังไม่เคยมีใครกล้าดูหมิ่นต่อหน้าแบบนี้เลย!

“ไม่ต้องโกรธขนาดนั้น นายท่านสวี ผมแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง ไม่ว่าคุณจะกลัวฉีหยิ่นหรือไม่ ในใจคุณรู้ดีกว่าใคร ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงไม่กล้าแก้แค้นตระกูลฉี?” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น

“ผมจะบอกคุณคือ ความแข็งแกร่งของฉีหยิ่น เขาแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิดไว้อีก เขาแค่ลงมือเพียงเล็กน้อย อำนาจที่คนนอกสามารถมองเห็นได้เท่านั้น คุณก็หวาดกลัวแล้ว ไม่มีผมช่วยคุณ ความโกรธแค้นของคุณ เกรงว่าถึงวันตายก็คงไม่สามารถแก้แค้นได้”

กงจิ่วพูดจาไม่น่าฟัง แต่ว่าพูดความจริงหมด เปิดบาดแผลของสวีจิ่วหลิงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย และสาดเกลือบนบาดแผล

สวีจิ่วหลิงโกรธจนตัวสั่น คิ้วกระตุก

“คุณ คุณ คือคนของฉีหยิ่น? มาเพื่อทำผมโกรธ?” สวีจิ่วหลิงถามด้วยเสียงต่ำ “รู้ไหมว่าที่นี่คือตระกูลสวี แค่คำสั่งเดียว คุณมีปีกก็หนีไปได้ยาก”

เผชิญหน้ากับคำเตือนของสวีจิ่วหลิง ใบหน้ากงจิ่วไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย แค่ส่ายหน้า

“นายท่านสวี ผมพูดตั้งแต่แรกแล้ว ฉีหยิ่น คือศัตรูคนเดียวกันของพวกเรา” กงจิ่วพูดเบาๆ“ผมมา เพื่อจะบอกความลับเกี่ยวกับฉีหยิ่นให้คุณรู้”

“ผมไม่อยากฟัง และไม่อยากรู้เรื่องของฉีหยิ่น” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยความโกรธ “คุณ ออกไปจากตระกูลสวีเดี๋ยวนี้ อย่าบีบบังคับให้ฉันต้องโมโห ส่งแขก”

“ฮาฮา ตระกูลสวีแห่งตี้จิง ก็แค่นี้เองหรือ!”

“สวีจิ่วหลิงที่ถูกเรียกว่าเสาหลักอันแข็งแกร่งแห่งตงหลิงในอดีต ยิ่งใหญ่และมีอำนาจแค่ไหน? แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กรุ่นหลังอย่างฉีหยิ่นทำให้หวาดกลัวจนขี้ขลาด ตลกสิ้นดี”

“คิดสักว่าผมไม่เคยมาตระกูลสวีแล้วกัน ลาก่อน”

กงจิ่วหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ ทำท่าแบมือจากนั้นหมุนตัว

“ช้าก่อน”

สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา หน้าผากมีเส้นเลือดออกมา

รู้ทั้งรู้ว่ากงจิ่วตั้งใจยั่วโมโหเขา แต่เขาก็อดไม่ไหว!

ใช่ เหตุการณ์รุนแรงที่ฉีหยิ่นทำต่อตระกูลสวีหลายครั้ง ตอนนี้เขาทำจิตใจของคนแก่ตระกูลสวีคนนี้ล่มสลายไปแล้ว หลายสิบปีที่ผ่านประสบการณ์ต่อสู้สิ่งที่สะสมมา ก็โดนฉีหยิ่นทำลายจนหมด โมโหกระวนกระวายทุกวัน เจอเรื่องไม่อาจใจเย็นได้

ฉีหยิ่น ก็เหมือนหนามในใจเขา หนามในตา!

ไม่ว่าข่าวอะไรเกี่ยวกับคนนี้ ก็ทำให้เขาโกรธ แทบรอไม่ไหวที่ฆ่าลูกหลานตระกูลฉีคนนี้อย่างเร็ววัน!

“คุณพูดเลย ฉีหยิ่นมีความลับอะไร? คุณมีสิทธิ์อะไรมาร่วมมือกับตระกูลสวี?” สวีจิ่วหลิงใจเย็นลงมา ถามด้วยเสียงต่ำ

กงจิ่วหมุนตัว ใบหน้ายิ้มออกมาอย่างได้ใจ พูด “ผมมีสิทธิ์อะไร? นายท่านตระกูลสวี ต่อไปมีโอกาสให้คุณเห็น”

“ฉีหยิ่น คือผู้อาวุโสลึกลับของตระกูลนิ่ง” กงจิ่วพูดเสียงเรียบ มองสวีจิ่วหลิง “นายท่านสวี คุณมีความมั่นใจที่จะแบกรับอำนาจทั้งหมดของทั้งสองตระกูลใหญ่ได้ไหม?”

“ฉีหยิ่น……คือผู้อาวุโสของตระกูลนิ่ง?” สวีจิ่วหลิงสีหน้าตกใจ โดนข่าวนี้ทำให้ช็อก

เขาก็ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงของตระกูลนิ่ง รู้ว่าตระกูลมีผู้อาวุโสกลับมา นิ่งไท่จี๋ที่เป็นรุ่นเดียวกับเขาก็เกษียณ ยอมเอาตระกูลนิ่งให้ผู้อาวุโสดูแล

เพียงแต่ เขาไม่อาจเชื่อได้ อาวุโสลึกลับท่านนี้ คือฉีหยิ่น?

เป็นไปได้ยังไง? นี่มันพลิกผันจากความเข้าใจตามปกติอย่างสิ้นเชิง

ฉีหยิ่นมีความสามารถเก่งขนาดนี้ อายุยังน้อยก็คุมตระกูลฉีแห่งตี้จิง กอบกู้ตระกูลฉีกลับมาพูดได้เลยว่าตลอดชีวิตเขา เป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุด

แต่ฉีหยิ่นอายุเท่าไรเอง? อายุยี่สิบต้นๆ ก็สามารถเป็นผู้อาวุโสของตระกูลนิ่ง?

ต้องรู้ว่า ถ้าเรียบเรียงตามรุ่น ฉีหยิ่นเป็นรุ่นหลานของนิ่งไท่จี๋ ปู่ของฉีหยิ่นฉีเวิ่นติ่ง กับนิ่งไท่จี๋ก็คือรุ่นเดียวกัน ทั้งสองมีตำแหน่งฐานะเท่าเทียมกัน

นิ่งไท่จี๋ทำไมถึงยอมก้มหัวให้คนรุ่นหลาน? ยังเอาธุรกิจทั้งหมดของตระกูลนิ่งให้ฉีหยิ่นอีก? นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!

เรื่องนี้อย่าบอกว่าเขาไม่เชื่อเลย พูดออกไป แม้แต่ปู่ของเขาฉีเวิ่นติ่งก็คงจะไม่เชื่อ?

“คุณกำลังล้อเล่นอะไร? ฉีหยิ่นใช้สิทธิ์อะไรถึงทำนิ่งไท่จี๋ยอมก้มหัวได้ เอาธุรกิจตระกูลให้เขา?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างเรียบเฉย

“นายท่านสวีไม่เชื่อเหรอ?” กงจิ่วพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “คุณไม่สงสัยหรือ ว่าทำไมฉีหยิ่นถึงออกคำสั่งคนตระกูลนิ่งได้และนิ่งซวนถึงได้ออกหน้าไปช่วย?”

“มิตรภาพของตระกูล ฉีหยิ่นรู้จักนิ่งซวน นี่มีอะไรน่าแปลกใจ?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างเชื่องช้า

“นายท่านสวี คุณประเมินฉีหยิ่นต่ำไปแล้ว ความสามารถในการสืบหาข่าวกรองของตระกูลสวีแย่เกินไปแล้ว” กงจิ่วส่ายหัว “แต่ว่าก็ไม่แปลก ความสามารถของฉีหยิ่น เก่งกว่าปู่ของเขาฉีเวิ่นติ่ง อำนาจของฉีเวิ่นติ่งคุณยังเทียบไม่ได้ แล้วจะสืบเรื่องของฉีหยิ่นได้อย่างไร?”

“เหอะ ถ้าไม่ใช่เพราะผมเกรงกลัวฉีเวิ่นติ่ง ก็ฆ่าฉีหยิ่นตั้งนานแล้ว หากฉีหยิ่นไม่ใช่หลานของฉีเวิ่นติ่ง ไม่ใช่สายเลือดลูกหลานคนเดียวของตระกูลฉี เขาจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เหรอ?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างได้ใจ

“ผู้อาวุโสลึกลับของตระกูลนิ่งท่านนี้ เมื่อก่อนผมก็เคยได้ยิน เป็นยอดฝีมือเหนือคนธรรมดา ที่อายุเกินร้อยแล้ว ลึกลับมาก แม้แต่คนของตระกูลนิ่งก็ไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ส่วนนิ่งไท่จี๋ จะเป็นคนโง่หรือไง? ยอมส่งมอบตระกูลนิ่งไปในมือของฉีหยิ่นด้วยความเต็มใจ?”

สวีจิ่วหลิงต่อให้ตายก็ไม่อยากเชื่อ ฉีหยิ่นจะเป็นองค์จักรพรรดิของตระกูลนิ่งคนนั้น

เพราะว่า จะเหยียบย่ำตระกูลใหญ่ในตี้จิงก็ทำได้ จะฆ่าล้างตระกูลใหญ่หนึ่งตระกูลก็ทำได้ แต่ว่า ทำให้นายท่านตระกูลใหญ่หนึ่งตระกูล ยอมเอากิจการทั้งหมดของตระกูลยกให้คนนอก นี่มันยากเกินไปแล้ว ไม่มีวันเกิดขึ้นได้!

ก็เหมือนกับเขาสวีจิ่วหลิง ถูกฉีหยิ่นเหยียบย่ำ ยอมกลืนความโกรธแค้นนี้ ถ้าทนไม่ไหว ก็สู้กับฉีหยิ่น สู้ไม่ได้ก็คงยอมโดนฆ่าทั้งตระกูล

ถ้าหากบอกให้เขาสวีจิ่วหลิงเอาธุรกิจของตระกูลสวีมอบให้ฉีหยิ่นเป็นของกำนัลด้วยตัวเอง? เขายอมให้ตระกูลสวีตายหมด ก็ไม่มีวันให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

ยอมเป็นหยกแหลกลาญไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่นิ่งไท่จี๋จะไม่เข้าใจหลักการนี้

นอกจาก ฉีหยิ่นมีฝีมือความสามารถที่ทำให้นิ่งไท่จี๋ยอมเคารพอย่างเต็มใจ

แต่ ฉีหยิ่นเด็กหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ จะสามารถทำให้นิ่งไท่จี๋เคารพได้หรือ?

จากที่สวีจิ่วหลิงดูมา ฉีหยิ่นยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งเพราะเขาเป็นสายเลือดเดียวของตระกูลฉี ได้สืบทอดอำนาจทั้งหมดของตระกูลฉี

เพราะว่าตระกูลฉีมีแค่เขาฉีหยิ่นเพียงคนเดียว สามารถใช้อำนาจของตระกูลฉียังไงก็ได้ตามใจชอบ ถึงแม้จะสร้างความเป็นศัตรูกับทุกคนในตี้จิงจนหมดสิ้น สร้างความขุ่นเคืองทั้งคนทั้งเทพ สุดท้ายก็มีเขาตายแค่คนเดียว

คนบ้าคลั่งที่ไร้ข้อต้องห้ามอย่างฉีหยิ่น ใครอยากจะไปมีเรื่องด้วย?

“นายท่านสวี คุณลืมเรื่องที่ฉีหยิ่นฆ่าล้างตระกูลเหวินแล้วหรือ?” กงจิ่วพูดด้วยใบหน้ายิ้ม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท