ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่363แก๊งมังกรได้เปลี่ยนประมุขไปนานแล้ว!

บทที่363แก๊งมังกรได้เปลี่ยนประมุขไปนานแล้ว!

“แก! แกหาที่นี่เจอได้ยังไง?” ปรมาจารย์ถามด้วยใบหน้าที่แตกตื่น แววตาก็แตกตื่นไม่ต่างกัน ต่อให้พยายามทำหน้าสงบแค่ไหน แต่มือทั้งสองข้างกลับกำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

การปรากฏตัวอย่างเหนือธรรมชาติของหลินอิ่งทำให้เขาแทบจะสิ้นหวังไปแล้ว

ปรมาจารย์ลองคิดอีกมุมหนึ่ง ในด้านวิชาการต่อสู้ของแก๊งมังกรนั้นไม่ได้ขาดการวิเคราะห์แบบปราชญาเลย……

พลาดแล้วไง! ลืมจุดนี้ไปสนิทเลย! ดันพานักบวชเฒ่าที่อยู่ในวัดนั่นติดตัวมาด้วย นักบวชเฒ่านั่นเพิ่งพบกับหลินอิ่งเมื่อกี้ เพิ่งเห็นหน้ากันไป

ที่สำคัญกว่านั้นคือ นักบวชเฒ่าอาศัยอยู่ที่วัดเต๋าซานซิงมาเป็นปี ในวัดก็มีแต่ร่องรอยของเขาเต็มไปหมด เก้าอี้กับเบาะสานเขาก็เคยนั่งมาแล้ว พวกมันต่างก็เป็นวัตถุธรรมชาติที่สามารถเอามาวิเคราะห์ได้

ส่วนคนคนนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดจากประมุขคนก่อนมาอย่างถ่องแท้ เขามีครบทั้งจังหวะเวลา สถานที่และการดึงดูดผู้คน ถ้าต้องการคาดการณ์ตำแหน่งของนักบวชเฒ่าว่าอยู่ตรงไหนในเมืองโบราณนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก!

“ท่าน ท่านคือผู้สืบทอดของประมุขคนก่อนเหรอครับ?” ปรมาจารย์น้ำเสียงสั่นเครือ เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ แววตาเย็นเยือกอย่างถึงที่สุด “เมื่อกี้คุณยังพูดอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นคนทรยศของแก๊งมังกรน่ะ?”

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ พูด!”

น้ำเสียงที่เย็นเยือก ราวกับสายฟ้าที่ดังสนั่นหวั่นไว้อยู่ในหัวของปรมาจารย์ มันทำให้เขายืนอึ้งอยู่กับที่ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ผะ……ผมยอมพูดแล้วครับ” ปรมาจารย์ก้มหน้าก้มตา แล้วพูดออกมาช้าๆ

ซิ่ว!

เพียงพริบตาเดียว แสงแวบหนึ่งวิ่งผ่านดวงตาของปรมาจารย์ไป เขาตัดสินใจลงมือทันที

“เอื้อ!”

“อ้า!”

ปรมาจารย์ไม่ได้ลงมือกับหลินอิ่ง แต่หันหันไปเลื่อนมือผ่านลำคอของคนชุดดำทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างเขา

ในเวลาสั้นๆ คนชุดดำสองคนที่ตกอยู่ในความกลัวก็ถูกมีดในมือของปรมาจารย์เชือดผ่านลำคอไปโดยไม่ทันตั้งตัวเลือดสดๆ ไหลออกมามากมาย จนล้มตายไปในทันที!

แม้แต่นักบวชเฒ่าที่นอนอยู่บนพื้นก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน ถูกมีดบินเชือดผ่านลำคอไป จนสิ้นชีพไปทันที

ปรมาจารย์ลงมือได้อย่างรวดเร็ว เรียบง่ายแต่เด็ดขาด

“อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันคิดว่าต่อหน้าคนคนนี้พวกแกไม่มีทางเก็บความลับอยู่อย่างแน่นอน ส่วนฉัน เดี๋ยวก็ได้ลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกแกแล้ว……” ปรมาจารย์มองดูลูกน้องทั้งสองที่เพิ่งตายไปด้วยสายตาที่เจ็บปวด แล้วพูดอยู่คนเดียวราวกับคนเสียสติ

ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเห็นแล้วช่างชวนขนลุกเหลือเกิน

“ให้เป็นคนสั่งให้คุณมาเฝ้าที่นี่? ใครทำให้คุณจงรักภักดีได้ขนาดนี้?” หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ถามไปอย่างใจเย็น

“ฮึๆฮึ……” ปรมาจารย์ขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ แก๊งมังกรได้เปลี่ยนประมุขไปนานแล้ว มันสายไปแล้ว! ถ้ายังคิดจะตามสืบต่อไป คุณก็คงรอดได้อีกไม่นานหรอก!”

“เมื่อก่อน ผมเคยติดหนี้บุญคุณประมุขคนก่อนมาก่อน เพื่อเห็นแก่บุญคุณครั้งนั้น ผมจะบอกคุณอย่างหนึ่งว่า ถ้ายังอยากมีชีวิตรอด คุณก็ควรซ่อนตัวต่อไป! ทิ้งความคิดเรื่องตำแหน่งประมุขไปซะ ล้มเลิกเรื่องที่จะครอบครองแก๊งมังกรไปได้เลย”

“ความจงรักภักดีนั้นมีให้แค่คนคนเดียว นี่คือข้อมูลสุดท้ายที่ผมจะบอกคุณได้ สำหรับประมุขคนก่อนผมก็ถือว่าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว! ส่วนข้อมูลอื่นๆ คุณก็อย่างหวังจะได้อะไรจากปากผมอีกเลย”

ซิ่ว!

พูดจบ ปรมาจารย์ก็ใช้มีดในมือเชือดผ่านลำคอของตัวเองทันที

เสียงฉึกดังขึ้น ปรมาจารย์คุกเข่าลงพื้นอย่างแรง เลือดมากมายไหลออกมาจากทางลำคอ เขาเลือดที่จะปลิดชีพตัวเองไป

หลินอิ่งกระตุกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าแสดงความนับถือ

ปรมาจารย์คนนี้ น่าจะเป็นปรมาจารย์ยามมังกรเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในตี้จิง

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรถึงทำให้เขาแปรพักตร์ไปได้ เขาหันไปอยู่คนละฝั่งกับตัวเองอย่างชัดเจน……เขาถึงขั้นออกมาเคลื่อนไหวตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังรอคอยตัวเองอยู่ตรงนี้อีกด้วย

บางทีสถานการณ์ของแก๊งมังกรอาจจะแย่กว่าที่เขาคิดก็ได้นะ

หลินอิ่งค่อยๆ หลับตาลง คาดการณ์ทุกความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น

สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ เกิดปัญหาขนาดใหญ่ขึ้นภายในแก๊งมังกร! มีคนแอบอ้างตำแหน่งประมุขของแก๊งมังกรอย่างมิชอบ!

ยามมังกรเขียวที่เคยซ่อนตัวอยู่ในตี้จิง ได้รับคำสั่งเด็ดขาดให้รออยู่ในจุดที่ยามมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่เพื่อเฝ้ารอการมาของเขา!

ต้องรู้ก่อนว่า องครักษ์มังกรของแก๊งมังกรนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยพลการได้

แก๊งมังกรสำนักอู่เหมินสิบสองต่างก็รับคำสั่งจากประมุขแก๊งเท่านั้น

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ได้ตกอยู่ในแผนการที่วางไว้มานานแล้ว

เห็นได้ชัดว่า แก๊งมังกรไม่ได้อยู่ในการควบคุมของประมุขแก๊งอย่างเขาแล้ว

แต่มีคนที่แอบอ้างตำแหน่งประมุขแก๊ง อีกทั้งยังมีตำแหน่งที่สูงส่งน่าเกรงขาม จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับแก๊งมังกรได้!

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

หลายปีที่ตัวเองเก็บตัวอยู่นั้น เกิดอะไรขึ้นกับแก๊งมังกรบ้างนะ?

อาจารย์ที่ผ่านด่านความเป็นความตายไปได้ ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วนะ?

“ประมุขแก๊ง” ที่ปรมาจารย์พูดถึงนั้นเป็นใครกันแน่?

ตั้งแต่ที่เขาออกจากภูเขามา นี่เป็นใครแรกเลยที่เขารู้สึกกดดันแบบนี้!

จะเคลื่อนย้ายองครักษ์มังกรง่ายๆ อีกไม่ได้……

ตอนนี้แก๊งมังกรที่อาจารย์ส่งต่อให้ได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองแล้ว แถมยังได้มองตัวเองเป็นผู้ทรยศของแก๊งแล้วด้วย!

มัน มันคือต้นตอของความอันตรายที่สุดของตนเองในตอนนี้แล้ว!

แก๊งมังกร มันเป็นถึงตัวตนที่สามารถส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลกได้เลยนะ!

ทั้งชีวิตของหลินอิ่งนั้น อาศัยอยู่ที่การค้าพบขั้นสูงสุดของชีวิต เขาสามารถมองข้ามตำแหน่งประมุขแก๊ง ไม่ลุ่มหลงในอำนาจ เขาสามารถกลับไปเก็บตัวได้เหมือนเดิม

แต่จิตใจที่รับผิดชอบของเขาไม่อนุญาตให้เข้าทิ้งขว้างแก๊งมังกรไว้แบบนั้น ปล่อยให้คนอื่นเก็บไป จากนั้นก็หันกลับมาไล่ล่าเขา!

ทางเหนือของประเทศหลุง เคยมีประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมความเป็นไปของโลกใบนี้ สหภาพไซบีเรีย ด้วยความไม่เอาไหนของผู้นำคนหนึ่งนั่นแหละที่ทิ้งขว้างอำนาจลงพื้น จนถูกคนบ้าคนหนึ่งเก็บได้ ทำให้สหภาพถึงกับต้องล่มสลาย แตกซ่านจนไม่เหลือชิ้นดี ความสามารถของประเทศถดถอยประชาชนตกทุกข์ได้ยาก ถดถอยจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าไม่อาจพื้นคืนกลับมาได้อีก ถูกประเทศที่เป็นคู่อริกดขี่ข่มเหงจนถึงที่สุด

เขา หลินอิ่งคนนี้ ไม่มีทางนั่งดูแก๊งมังกรอันเป็นองค์กรขนาดใหญ่แบบนี้ต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น แล้วไปก่อกรรมทำชั่วอย่างตามใจชอบได้หรอก!

ถ้ามีใครบอกว่า ด้วยกำลังของคนแค่คนเดียว แล้วคิดที่จะต่อต้านแก๊งมังกร คนอื่นก็จะคิดว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่ไร้สาระกับความพยายามที่ไร้ความหมายของคนโง่เท่านั้น

แต่ว่า หลินอิ่ง ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางที่ยากลำบากแบบนั้นแหละ!

ทว่า เรื่องของแก๊งมังกรนั้น มันค่อนข้างใหญ่ ต้องค่อยๆ ดำเนินการ วันนี้ เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแก๊งมังกรเลย

หลังจากไตร่ตรองได้ซะพัก หลินอิ่งก็ทำหน้าจริงจัง จากนั้นก็เดินออกจากลานบ้านไป

……

ในวันเดียวกัน หลินอิ่งได้เดินจากอำเภอหลงซิงกลับมาที่ตี้จิง

เขตจงเทียน จงเทียนซิงเฉิง

หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ภายในห้องทำงานของประธาน บนโต๊ะมีชาแดงตั้งอยู่หนึ่งกา เขาค่อยๆ ดูดบุหรี่อย่างช้าๆ

ถังฮุยยืนอยู่ข้างๆ กำลังรายงานเรื่องที่คราวก่อนไปจัดการเรื่องของสวีฉางเฟิงอย่างยุติธรรมที่เขตหัวหยางให้เขาฟัง

คราวก่อนท่านอิ่งสั่งให้เขาพาฮาเดสไปทำงานที่เขตหัวหยาง ตอนที่กำลังสู้กับสวีฉางเฟิงและพวกเหยียนหลงอย่างเมามัน และเขาตั้งใจจะจัดการกับเหยียนหลงนั้นเอง

จู่ๆ ตระกูลสวีก็เลือกที่จะก้มหัวให้กับท่านอิ่ง ยอมละทิ้งเค้กก้อนใหญ่อย่างเขตหัวหยางไป ไม่เพียงเรียกตัวสวีฉางเฟิงกลับไป แถมยังจับตัวเหยียนหลงมาส่งให้อีกด้วย เขาจึงถือโอกาสทุบตีทั้งที่เหยียนหลงถูกมัดอยู่ ตีจนเหยียนหลงเสียผู้เสียคนไปเลย!

“ท่านอิ่งครับ ตอนนี้เขตหัวหยางได้สงบลงแล้ว คุณอยากให้ทำอะไรกับเขตหัวหยางอีกไหมครับ?” ถังฮุยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งเหมือนไม่ตั้งสนใจฟังสิ่งที่เขารายงานมาเลย เอาแต่มองไปยังท้องฟ้าและก้อนเมฆที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยแววตาอันเรียบเฉย พร้อมกับพ่นกลุ่มควันออกจากปาก

ถังฮุยเข้าใจและไม่คิดที่จะไปขัดจังหวะความคิดของหลินอิ่ง เขาได้แต่รู้สึกแปลกใจและสงสัย

ท่านอิ่ง วันนี้ดูเครียดๆ

มันจึงทำให้ถังฮุยรู้สึกแปลกใจมาก!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน