ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 350 จัดการตระกูลสวีไปพร้อมกัน

บทที่ 350 จัดการตระกูลสวีไปพร้อมกัน

“นิ่งจองอู่ ฉันว่าช่วงนี้แกได้อำนาจจากตระกูลนิ่งนิดหน่อย ก็ผยองขึ้นเลยนะ ไม่เห็นคุณชายเผียวอยู่ในสายตาเลย ยังไม่มีเราสองคนในสายตาอีก?” โม่เฟยถูกเสียงเย็นชา สายตาเฉียบคมจ้องอยู่ที่หลินอิ่งกับนิ่งจองอู่ อย่างอาฆาต

นิ่งจองอู่ สีหน้าตื่นเต้น รู้สึกกดดัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลินอิ่งอยู่ด้วย เขาเพียงคนเดียวเอาสถานการณ์ตอนนี้ไม่อยู่แน่นอน

กิจการธุรกิจของนิ่งจองอู่ล้วนอยู่ในเขตตี้เจียง เมื่อก่อนก็ไปมาหาสู่กับสวีถันโจวกับโม่เฟยไม่น้อย

อำนาจของสองคนนี้ในเขตตี้เจียงสูงกว่าเขามาก มาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว เมื่อก่อนก็ถูกสวีถันโจวสองคนดูถูกไม่น้อย ต่อหน้าสองคนนี้ เขาซึ่งเป็นคนรุ่นที่สองของตระกูลนิ่ง ก็ต่ำกว่าเขาระดับหนึ่ง

ต้องรู้ว่า ในเขตตี้เจียงผู้ที่มีอำนาจสูงสุด ก็คือตระกูลสวีแห่งตี้จิง เพราะกิจการหลักของตระกูลสวี อยู่ที่ท่าเรือขนส่งแม่น้ำตี้หวาง ความสัมพันธ์กว้างขวางและพันธมิตรการค้ามากมาย แข็งแกร่งใหญ่โต

เพียงแต่ว่า ก่อนหน้านี้ขุมทรัพย์ของตระกูลสวีถูกคนระเบิดไปแล้ว เป็นเรื่องที่สร้างความโกลาหลในแวดวงธุรกิจแห่งตี้จิง ได้ยินว่าคนที่ทำคือคนโหดลึกลับคนหนึ่งของตระกูลฉีแห่งตี้จิง

กลุ่มเรือโกดังสินค้าถูกระเบิดทำให้ตระกูลสวีเสียหายหลายหมื่นล้าน แต่ก็ไม่ได้กระทบต่ออำนาจของตระกูลสวีในเขตตี้เจียง

ในเขตตี้เจียง ตระกูลสวี ก็เหมือนอยู่สูงเหนือฟ้า

มองประธานหลินไปทีหนึ่ง นิ่งจองอู่พูดว่า “สวีถันโจว นี่เป็นเรื่องของตระกูลนิ่ง ตระกูลสวีจะเข้ามายุ่งใช่ไหม?”

“แกมันตำแหน่งอะไร เป็นตัวแทนของตระกูลนิ่งได้เหรอ?” สวีถันโจวสีหน้าเหยียดหยาม ดูถูกนิ่งจองอู่ “อีกอย่าง ชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีของเราเป็นสัมพันธมิตรที่ดีต่อกัน แกทำร้ายคุณชายเผียวที่เขตตี้เจียง ก็เท่ากับทำลายหน้าของตระกูลสวีของเรา เรื่องนี้ ตระกูลสวียุ่งแน่นอน”

สวีถันโจวไม่ได้เห็นนิ่งจองอู่อยู่นายสายตาแม้แต่น้อย ถึงแม้ตัวแทนของตระกูลนิ่งจะไม่ยอมออกหน้า เขาก็ต้องช่วยเผียวซิ่วชวนจัดการแก้แค้นแน่

นิ่งซิ่วชวนไอ้ปัญญาอ่อนนี่ ก็ไม่รู้จักคิด ว่าที่นี่เป็นเขตตี้เจียง

ในถิ่นของตระกูลสวี กล้าทำร้ายแขกพิเศษของตระกูลสวี? ถ้าหากนายท่านของตระกูลรู้เรื่องนี้ จากความสัมพันธ์ของนายท่านกับชีซิงกรุ๊ป ก็ต้องช่วยเผียวซิ่วชวนแก้แค้นแน่

“พี่สวี รีบให้คนจัดการมันสองคนเลย ฉันทนไม่ไหวที่จะทำให้พวกมันคุกเข่าแล้ว” เผียวซิ่วชวนพูดอย่างทนไม่ไหว สายตาเย็นชา

หลินอิ่งสายตาปกติมองไปทุกคนหนึ่งรอบ พูดเสียงเรียบ “ตระกูลสวีของคุณ แน่ใจเหรอว่าจะคุ้มเผียวซิ่วชวน?”

“แกเป็นใคร?” สวีถันโจวถาม

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “หลินอิ่ง”

สวีถันโจวขมวดคิ้ว สำรวจตัวหลินอิ่ง

เขาดูออก ในตัวหลินอิ่งมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา เผชิญหน้ากับคนมากมายขนาดนี้สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เป็นคนเคยเจองานใหญ่มาแล้ว

อีกอย่างชัดเจนมาก หลินหวู่จงถูกหลินอิ่งยึดอำนาจแทน เคารพหลินอิ่งมาก

“หลินอิ่ง……เป็นใครมาจากไหน?” สวีถันโจวสำรวจมองหลินอิ่ง สีหน้าระวังและสงสัย ไม่รู้มีที่มายังไง หลินอิ่งอายุเพียงยี่สิบกว่า อายุน้อยขนาดนี้?

คุณชายตระกูลใหญ่ในตี้จิงที่อายุประมาณนี้ สวีถันโจวคิดว่าตัวเองอยู่ในแวดวงตระกูลผู้ดีตี้จิงมานาน ล้วนเคยเห็นหน้าทั้งนั้น

ไม่เคยเจอหลินอิ่งคนนี้เลย และไม่เคยได้ยินชื่อของเขาด้วย

“พี่สวี เขานั่นแหละ ไอ้ขยะแซ่หลินคนนี้ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ทำลายมือของผมกับน้องชาย ในโทรศัพท์ มันยังกล้าอวดดีกับพ่อผมด้วย” เผียวซิ่วชวนพูด มองหลินอิ่งตาเป็นไฟ

เผียวซิ่วชวนเกลียดมาก จนอยากเผากระดูกหลินอิ่งคืนนี้เลย หั่นแยกเป็นแปดชิ้น

“คุณชายเผียว คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน ไอ้หน้าโง่สองคนนี้ คืนนี้เดินออกไปไม่ได้แน่” สวีถันโจวพูดอย่างใจเย็น และมั่นใจเต็มร้อย

เขาคิดว่า เหตุการณ์ในหอตี้เจียงอยู่ในการควบคุมของเขา

“หลินอิ่ง? ดูแล้ว แกน่าจะมาจากต่างจังหวัด? ไม่รู้ว่าเป็นคนตระกูลไหน แต่ว่า นี่ไม่สำคัญ”

สวีถันโจวพูดอย่างใจเย็น “มีปัญหากับตระกูลสวีในเขตตี้จิง ถึงแกจะเป็นมังกรก็ต้องหดตัวไว้ เป็นเสือ ก็ต้องหมอบไว้”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดว่า “ถ้าหากตระกูลสวีของคุณยังมั่นใจที่จะปกป้องเผียวซิ่วชวน ถ้าอย่างนั้นผมจะได้จัดการตระกูลสวีพร้อมกันเลย”

“แกเป็นใคร? กล้ามาขู่ฉัน?” โม่เฟยที่อยู่ข้างสวีถันโจว ชี้หน้าด่าหลินอิ่ง สีหน้าดูถูก “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกจะไปมีเบื้องหลังใหญ่โตอะไร? คุณชายตระกูลผู้ดีในตี้จิงอายุประมาณแก มีใครที่ฉันไม่เคยเห็น? ยังมาแกล้งทำตัวอยู่นี่อีก?”

“คิดว่าตัวเองเป็นใคร? หาเรื่องใส่หัวแล้ว ยังกล้าอวดดีอีก?” โม่เฟยพูดอย่างดูถูก ไม่เห็นหลินอิ่งอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“มาจากไหนกัน ไอ้โง่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ยังกล้าจะจัดการตระกูลสวีพร้อมกัน? ไอ้บ้าเอ้ย แกคิดว่าแกเป็นใคร?” สวีถันโจวพูดอย่างเย็นชา ส่ายหัว ในใจยิ่งดูถูกหลินอิ่ง

ได้ยินคำพูดที่ตลกที่สุดในโลก

กล้าทำร้ายคุณชายชีซิงอย่างไม่กลัวตาย ยังกล้าพูดว่าจะจัดการตระกูลสวีพร้อมกัน?

ไอ้หลินอิ่งคนนี้มีความสามารถแค่ไหนกัน? จะรับมือกับสองตระกูลใหญ่ระดับโลกได้?

พูดตามตรง สวีถันโจวเคยเห็นคุณชายตระกูลผู้ดีที่มีเบื้องหลังใหญ่โตในแวดวงสังคมตี้จิงมาเยอะแล้ว

คนอายุน้อยที่จัดการรับมือกับสองบริษัทใหญ่ระดับโลกได้ คาดว่ายังไม่เคยมี

“จัดการพวกมันทุกคน จับตัวมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” สวีถันโจวพูดเสียงเฉียบขาด สะบัดมือ ออกคำสั่ง

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดชุดดำร่างใหญ่ยี่สิบกว่าคนก็เดินเรียงแถวมา เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พวกเขาทุกคนจ้องไปที่หลินอิ่ง เหมือนเผชิญหน้ากับศัตรู

เพราะพวกเขารู้ว่าหลินอิ่งมีความสามารถชิงปืนด้วยมือเปล่า คู่ต่อสู้ร้ายกาจขนาดนี้บางทีก่อนตายอาจจะลากใครไปด้วยก็ได้ ดังนั้นเลยไม่กล้าดูถูกฝีมือหลินอิ่ง

ตอนนี้ นิ่งจองอู่และลูกสาวหวาดกลัว หลบอยู่ข้างหลังของหลินอิ่ง

มีเพียงร่างอันเรียบเฉยของหลินอิ่งเท่านั้น ที่ให้ความปลอดภัยกับพวกเขาได้

มุมปากของหลินอิ่งมีแววโหดเหี้ยม เดินออกไปหนึ่งก้าว

ในเวลาเดียวกัน บอดี้การ์ดชุดดำยี่สิบกว่าคนนั้น หยิบมีดดำออกจากกระเป๋าตัวเองในเวลาเดียวกัน ฆ่าไปพร้อมกันทางหลินอิ่ง

พวกเขาทุกคนยืนประจำที่ทุกทิศ ให้ความร่วมมือกันได้อย่างดี ล้วนเป็นทหารที่ซ้อมรบปฏิบัติการมาพร้อมกันประจำ ฝีมือท่าทางกระฉับกระเฉง

เพียงแค่ชั่ววินาที หลินอิ่งก็เริ่มลงมือเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เหลือไว้เพียงเงาในตำแหน่งเดิม

ปังปังปัง

หลินอิ่งฝ่ามือดั่งมีดเท้าแข็ง ท่าง่ายๆเพียงท่าเดียว เงาดั่งสายฟ้า ตัวกระแทกกับลมกลางอากาศจนเกิดเสียงดัง ทำให้คนที่มองตาลาย แยกแยะทิศทางไม่ออก

ในสายตาทุกคน เห็นเพียงจุดที่หลินอิ่งผ่าน ทั้งหมัดทั้งถีบบนตัวบอดี้การ์ดชุดดำ ความรุนแรงเหมือนดั่งรถแข่งพุ่งชน ชนจนบอดี้การ์ดชุดดำแต่ละคนกระเด็นไกลสิบเมตร ล้มกระแทกพื้นกระอักเลือด

“เอื้อกอ๊าก”

“อ๊าก”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังไม่ขาดสาย ร่างคนชุดดำลอยไปทีละคน

ไม่ถึงหนึ่งนาที ทหารรับจ้างฝีมืออาชีพที่ฝึกฝนมาอย่างดียี่สิบกว่าคน ก็ถูกหลินอิ่งต่อยจนกระอักเลือด ล้มอยู่บนพื้นกลิ้งไปมาเหมือนหมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท