ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 375 นายเก๋าขนาดนี้พ่อแม่นายรู้มั้ย?

บทที่ 375 นายเก๋าขนาดนี้พ่อแม่นายรู้มั้ย?

“พูดตามตรง หลินอิ่ง ตำแหน่งของนายในตระกูลจางในเมืองชิงหยูน นั้นก็แค่สวะไร้ค่าที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิง โดนตบหน้าไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรอ?”ลู่จิ้งพูดอย่างเย้ยหยัน “ครั้งนี้ทนไม่ไหวแล้วหรอ? เป็นเพราะว่าพี่สาวของฉันให้นายมาเจรจาธุรกิจในเมืองก่าง นายรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นมาแล้ว?”

“ออ? ลู่จิ้ง หลินอิ่งมักโดนตบหน้าในบ้านเกิดของเธอ?” คุณชายหลุ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

เดิมทีเขาตกใจกับบอดี้การ์ดที่ยืนข้างๆหลินอิ่ง เมื่อได้ยินเช่นนี้ มองไปยังหลินอิ่งด้วยสายตาดูถูกอีกครั้ง

“ใช่แล้ว อย่าว่าแต่ตบหน้าเขาเลย หลินอิ่งอยู่ในบ้านตระกูลจางของเรา แม้แต่สถานะของหมาตัวหนึ่งที่เลี้ยงในครอบครัวก็ยังสูงกว่า” ลู่จิ้งพูดด้วยความประหลาดใจ “บอดี้การ์ดข้างกายเขา เพราะว่าเป็นผู้ช่วยของพี่สาวของฉัน ถึงจะสามารถมีได้”

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแค่กระดูกอ่อนที่ไร้ค่านี่เอง” คุณชายหลุ่ยพูดอย่างดูถูก มองหลินอิ่งอย่างสนุกสนาน “นายคิดว่านายพาบอดี้การ์ดมามันเก๋ามากใช่มั้ย? ยังทำร้ายคนอื่น? Ok งั้นเรามาแข่งกัน ว่าใครมีบอดี้การ์ดมากกว่ากัน?”

“ไปเรียกผู้จัดการของร้านอาหารผองเฟยมา”คุณชายหลุ่ยจุดซิการ์หนึ่งมวน และพูดอย่างมีสไตล์

“ให้บอดี้การ์ดลงมือ? หึๆ นายรู้มั้ยว่าในบ้านฉันมีบอดี้การ์ดกี่คน?” คุณชายหลุ่ยมองหลินอิ่ง พูดด้วยท่าทางขี้เล่น “ฉันจะบอกให้หน่อยนะ ฉันชื่อหลุ่ยซานกวน นายสามารถไปสอบถามชื่อของฉันในถนนอาหารแถวๆนี้ก็ได้ กลุ่มอาหารตระกูลหลุ่ยในเมืองก่างนี้เป็นของบ้านฉันเอง! ร้านอาหารมากกว่าครึ่งหนึ่งในถนนอาหารที่อยู่ใกล้เคียงสายนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวฉันเอง แม้แต่เจ้าของเจ้าของร้ายอาหารผองเฟยแห่งนี้ก็ยังเป็นเพื่อนของฉัน”

“ณ ที่แห่งนี้ คนไร้ประโยชน์อย่างนายยังกล้ามท้าทายฉัน งั้นแสดงว่าคงอยากตายใช่มั้ย” หลุ่ยซานกวนพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา

ไอ้หลินอิ่งที่มาจากมณฑลบ้านนอก ได้ยินมาว่ายังเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เกาะผู้หญิงกิน? เอาอะไรมาสู้กับตัวเอง?

ถึงแม้ว่าพี่สาวที่ลู่จิ้งพูดถึง ทำธุรกิจอัญมณีที่ใหญ่โต เป็นเจ้านายที่มีทรัพย์สินไม่น้อย มาถนนอาหารสายนี้แล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาท้าทายกับเขาหลุ่ยซานกวน!

ในถนนสายนี้ มีวงการที่มืดและขาว ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ เขาก็มีสายสัมพันธ์ทั้งหมด

“คุณชายหลุ่ย ได้ยินมาว่านายหาฉัน? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

ในขณะนี้ ชายวัยกลางคนหนึ่งที่สวมชุดทักซิโด้สีดำเดินมาจากเขาเตอร์ สีหน้าจริงจัง ข้างๆของเขายังมีบอดี้การ์ดที่สวมชุดสูทมาด้วย

“นี่! ประธานหยัง คุณก็อยู่ในร้านอาหารด้วยหรอ มาได้ทันเวลาจริงๆ!” หลุ่ยซานกวนทักทายอย่างสุภาพ

“พี่หยัง วันนี้ผมพาเพื่อนๆของผมมากินข้าวที่นี่ ชายหนุ่มที่ไม่ดูตาม้าตาเรือและมาจากมณฑลบ้านนอก พาบอดี้การ์ดของเขามาทุบตีเพื่อนทั้งสองของผม” หลุ่ยซานกวนยื่นมือชี้นิ้วไปยังหลินอิ่ง และพูดอย่างสบายๆ “ก็คือเขา พี่หยัง พี่ต้องช่วยผมจัดการเขา ให้เขาคุกเข่าลงก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”

“สวัสดีครับ ประธานหยัง!”

“ประธานหยัง มานั่งดื่มด้วยกันสักแก้ว!”

ด้วยการมาถึงของประธานหยังของร้านอาหารผองเฟย ชายหนุ่มและหญิงสาวที่นั่งอยู่ต่างก็ลุกขึ้นยืน ยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ

สำหรับลูกเศรษฐีพวกนี้แล้ว ประธานหยังคนนี้เป็นบุคคลที่สูงศักดิ์ ถนนอาหารสายนี้เขารวบกินธุรกิจทั้งมืดและขาว เรื่องอะไรก็สามารถจัดการได้ นี่ก็คือการดำรงอยู่ของเขา

โดยเฉพาะ ประธานหยัง ยังเป็นคนสำคัญของหวู่เฟยหัวหน้าใหญ่อสังหาริมทรัพยแห่งเมืองก่าง มีอำนาจล้นฟ้า!

ถ้าเกิดว่าสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลสำคัญได้ ถ้าอย่างนั้นการทำธุรกิจบนถนนสายนี้ก็จะราบรื่น!

“ที่แท้ก็เป็นประธานหยังมานี่เอง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ทันทีที่ฉันมาเมืองก่างก็ได้ยินคุณชายหลุ่ยพูดถึงชื่อของคุณ!” ลู่จิ้งพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณชายหลุ่ยเก่งจริงๆเลย มีมิตรภาพที่ดีแบบนี้กับประธานหยังที่เป็นบุคคลสำคัญ!”

ในขณะที่พูด ลู่จิ้งถือแก้วเหล้าไว้สองแก้ว แล้วเดินไปยังที่ประธานหยังและหลุ่ยซานกวนที่ยืนอยู่ สวมบทบาทเป็นนักสังคมสงเคราะห์ทันที

หลุ่ยซานกวนยิ้ม สำหรับคำพูดประจบประแจงแบบนี้มีผลต่อใจของเขา

แต่ประธานหยังยิ้มอย่างไม่เต็มใจ สายตามองไปยังหลินอิ่งที่หลุ่ยซานกวนชี้

“นี่ นี่คือ?” ประธานหยังเลิกคิ้ว จ้องมองไปยังฮาเดสที่ยืนอยู่ข้างๆหลินอิ่ง

เขาไม่รู้จักหลินอิ่ง แต่รู้จักกับฮาเดส

ในฐานะที่เป็นคนสำคัญของหวู่เฟย ในวันนี้เขารู้ว่าเจ้านายใหญ่หวู่เฟยมาที่ร้านอาหารผองเฟยเพื่อเจรจาธุรกิจใหญ่ หารือเรื่องการโอนย้ายผองเฟยกรุ๊ปกับบุคคลลึกลับ

ในขณะที่หวู่เฟยกำลังเจรจาเรื่องธุรกิจกับบุคคลลึกลับ เขายืนรอคำสั่งอยู่นอกห้อง

ในขณะนั้น บอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ก็คือฮาเดส!

นี่……ชายหนุ่มคนนี่ ก็คือบุคคลลึกลับที่ซื้อผองเฟยกรุ๊ปกับเจ้านายใหญ่หวู่เฟยของเขา?

ใบหน้าของประธานหยังซีด จ้องมองด้วยสายตาที่ความว่างเปล่า ไม่กล้ายืนมือไปรับไวน์แดงที่ลู่จิ้งให้

เขารู้ข้อมูลวงในเล็กน้อย เจ้านายใหญ่หวู่เฟยวันนี้ได้นั่งเครื่องบินไปหลบซ่อนที่ต่างประเทศ เขาสั่งให้ตัวเองดูแลกิจการดีๆ ทำงานกับเจ้านายคนใหม่ประธานหลินดีๆ ยังบอกอีกว่าเจ้านายใหม่ประธานหลินคือผู้มีพระคุณของเขา รอให้เขาหลบมรสุมครั้งนี้เสร็จก็จะกลับมาที่เมืองก่างเอง

ยังพูดว่า บางทีในอนาคต หวู่เฟยก็ค่อยตามหลินอิ่งผู้มีพระคุณคนนี้ ต่อสู้กับคนในเมืองก่าง

“คุณ คุณคือประธานหลินใช่ไหม?” ผู้จัดการหยังพกเฉยต่อไมตรีของลู่จิ้งและหลุ่ยซานกวน มองไปยังหลินอิ่งและถามอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งเหลือบมองผู้จัดการหยัง พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมเอง นายคือคนที่หวู่เฟยพูดถึงหยังเสียงคนนั้น รองประธานของผองเฟยกรุ๊ป? คือคนที่ดูแลบริการจัดการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม?”

“ใช่! ประธานหลิน ผมก็คือหยังเสียง คุณเรียกผมเสี่ยวเสียงก็ได้” หยังเสียงพูดอย่างจริงใจ ในใจรู้สึกตื่นเต้น แสดงใบหน้าที่เคารพนับถือ

ไม่ผิด เป็นประธานหลินจริงๆด้วย

ไอ้บ้าเอ๊ย หลุ่ยซานกวนไอ้โง่คนนี้ เกือบทำให้ตัวเองมีปัญหากับเจ้านายใหม่

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฐานะเบื้องหลังที่แท้จริงของหลินอิ่งเป็นยังไง แต่ความสามารถของประธานหลินที่ซื้อผองเฟยกรุ๊ปแบบครบวงจรได้ และทำให้เจ้านายหวู่เฟยของเขายังต้องเคารพเขาขนาดนี้ งั้นก็แสดงว่า ต้องเป็นที่ใหญ่โต!

เพราะว่า ผองเฟยกรุ๊ปก็ถือว่ามีอันดับในเมืองก่าง เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนทางการเงิน และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ราคาตลาดของบริษัทมากกว่าหมื่นล้าน!

ประธานหลินสามารถซื้อผองเฟยได้ในทีเดียว ยังสามารถทำให้หวู่เฟยขายบริษัทด้วยความเต็มใจ มีความสามารถนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“ประธานหยัง คุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรอ?” หลุ่ยซายกวนพูดด้วยใบหน้าที่สงสัย “คุณรู้จักกับคนไร้ประโยชน์คนนั้นหรอ?”

“ ประธานหยัง คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? หลินอิ่งเป็นลูกเขยที่ไร้ค่าและมีชื่อเสียงในที่ของพวกเรา เขาคือผู้ช่วยของพี่สาวของฉันเอง” ลู่จิ้งพูดอย่างสงสัย “คุณเกรงใจกับเขาขนาดนี้ทำไม? พี่สาวของฉันคือจางฉีโม่ คุณรู้จักกับพี่สาวของฉันใช่ไหม? หลินอิ่งก็เป็นแค่แมลงที่ตามก้นพี่สาวของฉันเท่านั้นเอง เขาไม่ได้มีฐานะอะไร”

ผู้จัดการหยังของร้านอาหารผองเฟยกลับให้ความเกรงใจกับเขาขนาดนี้?

งั้นแสดงว่า เป็นเพราะเส้นสายของพี่สาวแน่เลย ให้หลินอิ่งมาเจรจาธุรกิจ และทำให้คนไร้ค่าคนนี้มีโอกาสได้ประจบประแจงกับคนใหญ่คนโต

หลินอิ่งคนไร้ค่าคนนี้ รู้แต่อาศัยอำนาจของพี่สาวมาพูดพร่ำทำเพลง

“หลุ่ยซานกวน เมื่อกี้นายพูดว่าอะไร? นายจะจัดการกับประธานหลินที่ตรงนี้?” หยังเสียงพูดด้วยท่าทางที่เย็นชา

“ ใช่แล้ว ประธานหยัง ฉันเรียกคุณมาก็เพื่อมาช่วยจัดการกับคนไร้ค่าคนนี้” หลุ่ยซานกวนพูด “คือคนที่มาจากมณฑลบ้านนอก ไอ้หลินอิ่งไร้ค่า ฉันได้สืบภูมิฐานของเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ก็คือคนที่เกาะเมียกิน คุณก็ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”

ป๊าบ!

หลุ่ยซานกวนเพิ่งพูดจบ หยังเสียงก็ตบหน้าของเขาอย่างแรง ตีเขาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ใบหน้าของเขาแดงก่ำ

“ ในลองพูดอีกครั้ง? ไอ้หมาโง่ นายยังกล้ามาด่าประธานหลิน?” หยังเสียงพูดด้วยความโกรธ

“ฉัน! ประธานหยัง นายตบฉัน พ่อของฉันคือหลุ่ยหวน ถึงแม้ว่านายไม่ให้หน้าฉัน แต่ก็ต้องให้หน้าพ่อของฉันมั้ย?” หลุ่ยซานกวนพูดยังไม่พอใจ จนพูดชื่อพ่อของเขาออกมา

โดนตบต่อหน้าผู้คนมากมาย ความคิดที่อยากตายก็มีแล้ว ศักดิ์ศรีของตัวเองถูกย่ำยีอย่างรุนแรง

“เห็นแก่พ่อนาย?” หยังเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา “นายเก๋าขนาดนี้ พ่อแม่ของนายรู้ไหม?”

ป๊าบๆ!

หยังเสียงก็ตบหน้าของเขาแรงๆอีกสองที ตบจนปากของหลุ่ยซานกวนบวมเป๋ง จับใบหน้าและร้องอย่างเจ็บปวด

“ฉันโทรเรียกพ่อของนายมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะดูว่า พ่อของนายกล้าเก๋าแบบนายไหม” หยังเสียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท