ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 383 งานเลี้ยงสังคมชั้นสูงของเมืองก่าง

บทที่ 383 งานเลี้ยงสังคมชั้นสูงของเมืองก่าง

ไม่ อย่าฆ่าผม ผม ผมผิดไปแล้ว” ข่าเอ๋อร์พูดด้วยความหวาดกลัว กลัวจนตัวสั่น

เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มหัวตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้ามองสายตาหลินอิ่ง

ในตัวหลินอิ่งมีความเย็นชาและอาฆาต ทำให้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในบ่อน้ำแข็ง หนาวเย็นไปทั้งร่าง

น่ากลัวมาก คนประเทศหลุงคนนี้

ท่าเดียวทำให้เฟยบี่พิการไปเลย ฝีมืออันน่ากลัวแบบนี้ ทำให้ข่าเอ๋อร์ตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น

ต้องรู้ว่า ยอดฝีมือผิวดำเฟยบี่คนนี้ที่เขาพามาวันนี้ นี่เป็นนักฆ่ามืออาชีพต่างประเทศระดับต้นๆเลยทีเดียว อย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือที่สู้กับฮาเดสได้

ข่าเอ๋อร์พาเฟยบี่มา ก็เพื่อจะจัดการกับฮาเดสได้ แบบนี้จะได้หัวเราะเยาะคริสอย่างได้ใจ ตั้งใจจะมาโชว์เป็นพิเศษ

แต่คิดไม่ถึง กลับมาเจอกับคนประเทศหลุงที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ ทำเอาเฟยบี่ไม่มีแม้แต่โอกาสรับมือ ก็ล้มลงกระอักเลือดบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง

แผนการที่คิดไว้เพื่อมาเหยียดยามเยาะเย้ยกลับล้มเหลวทุกอย่าง แต่กลับเขาถีบจนล้มลงกับพื้น จนขายหน้าอย่างสิ้นเชิง

“แค่นี้ก็กลัวแล้ว?” หลินอิ่งมุมปากยิ้ม “เมื่อกี้ไม่ใช่ยังพูดจาอวดดีไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ใช่ ผมไม่เก่ง ไม่อวดดี ผมผิดไปแล้ว คริส ยกโทษให้ผมนะครับ ให้เขาปล่อยผมไปเถอะนะ ผมไม่พูดจาอวดดีแล้ว” ข่าเอ๋อร์สีหน้าหดหู่ น้ำเสียงอ่อนลง พูดจาอ้อนวอน

คริสหัวเราะเย็นชาไม่พูด ไอ้หน้าโง่คนหนึ่ง

ต่อหน้าประธานหลิน ข่าเอ๋อร์ยังกล้าอวดดี? ยังกล้าด่านายทุนที่อยู่เบื้องหลังเขาเป็นหมูอีก? นั่นก็ไม่ใช่กำลังด่าประธานหลิน?

เพี๊ยะ

หลินอิ่งตบหน้าข่าเอ๋อร์จนตัวหมุน ตบหน้าเขาหน้าบวมเป็นซาลาเปา รอยฝ่ามือพิมพ์อยู่บนหน้า

“อ๊าก”

ข่าเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กระอักเลือดไม่หยุด

เขาคิดไม่ตก เด็กหนุ่มประเทศหลุงคนนี้ทำไมแรงเยอะขนาดนี้ ฝ่ามือตบมา ก็ทำให้เขาเหมือนถูกรถชน ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดไปทั้งตัว

นี่ถ้าไม่ระวังใช้แรงหนักกว่านี้ ไม่ทำเอาเขาตายคาที่เหรอ

“คนประเทศหลุงที่เคารพ ขอโทษด้วย ขอร้องอย่าทำร้ายผมอีกเลย ประเทศหลุงของพวกคุณมีคำพูดโบราณว่า ทหารสองทัพรบกัน ไม่ฆ่านักการทูต” ข่าเอ๋อร์ก้มหัวยอมแพ้ ถูกหลินอิ่งตบจนโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว แสดงโฉมหน้าที่อ่อนแอออกมา

“ยังรู้จักคำพูดนี้ด้วยเหรอ? น่าเสียดาย นี่ไม่ใช่การรบระหว่างทหารสองฝ่าย โม่เก๋อติงก็ไม่มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าเป็นคู่แข่งผม” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ฮาเดส ทำขามันพิการสองข้าง แล้วส่งกลับไป”

หลินอิ่งทิ้งคำพูดไว้ จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป คริสคอยติดตามอยู่ข้างกาย

“อย่า อย่าทำให้ผมพิการ ผมยอมขอโทษกับความผิดที่ผมทำไปก่อนหน้านี้ ผมยินยอมชดใช้เงินเพื่อซื้อขาของตัวเอง ขอร้อง คนประเทศหลุงที่เคารพ ให้โอกาสผมสักครั้ง” สายตาข่าเอ๋อร์หวาดกลัว ขอร้องอย่างเสียงดังไม่หยุด

เสียงดังปัง ฮาเดสพุ่งเข้าไปชกข่าเอ๋อร์จนกระเด็น กดตัวเขาไว้บนพื้นเหมือนหมูที่ตายแล้ว จากนั้นก็ทั้งหมัดทั้งขาทุบถีบลงไปที่หัวเข่าของเขา

“เอื้อกอ๊าก”

ข่าเอ๋อร์ร้องออกมาเสียงดังอย่างกับหมูถูกเชือด แววตาซีดขาวด้วยความหวาดกลัว ปากก็กระอักเลือดไม่หยุด ขาทั้งสองข้างถูกทำร้ายขนเปลี่ยนรูป กลายเป็นคนพิการทันที

นี่เป็นผลตอบแทนอันเจ็บปวดที่เขาต้องชดใช้ สำหรับการดูถูกคนประเทศหลุง

…….

เข้าสู่เวลาค่ำคืน รถlincolnสีดำโบราณคันหนึ่งขับอยู่บนถนนเซียงเจียงอันเจริญรุ่งเรือง

ฮาเดสขับรถออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา คริสสีหน้าเคร่งเครียด นั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ

หลินอิ่งนั่งอยู่ที่นั่งหลังคนขับ หลับตาพักผ่อน

เขาสั่งกำชับคริส คืนนี้ให้ไปร่วมงานเลี้ยงสังคมเมืองก่างที่โม่เก๋อติงจัดขึ้น

โม่เก๋อติงเคลื่อนไหวแล้ว ทำลายสัญญาบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน ยังทำการกดดันบริษัทผองเฟยอีกด้วย ยังส่งคนเข้าไปหาเรื่องถึงที่

ถ้านกหวีดเป่าไม่ดัง อีกหน่อยจะมีผลกระทบอะไรในสังคมเมืองก่างได้?

โดยเฉพาะ หวางเฟิงเที๋ยนที่ไร้แววตาของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน ฉีกสัญญาทิ้งก็แล้วไป ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง หันกลับมาก็มาช่วยโม่เก๋อติงพูด กล้ามาข่มขู่คนของเขา บอกว่าตัวเองมีอำนาจในฝ่ายกฎหมายมาก? กล้าเรียกร้องค่าละเมิดสัญญากับเขา ก็จะทำให้บริษัทผองเฟยถูกฟ้องร้องจนล้มละลาย?

ช่างไม่มีขื่อไม่มีแปแม้แต่น้อย

“ประธานหลิน เมื่อกี้ผมทำความเข้าใจกับข้อมูลที่รู้มา งานเลี้ยงเมืองก่างครั้งนี้ที่โม่เก๋อติงจัดขึ้นใหญ่โตมาก คนใหญ่โตในแวดวงธุรกิจของเขตหยู้ติ่งเมืองก่างมากันครบ” คริสรายงานอย่างเคารพ

“ครั้งนี้ เขายังบอกว่าต้อนรับตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างผมคนนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจหาเรื่อง”

หลินอิ่งยิ้มที่มุมปาก พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดูให้ชัดเจน โม่เก๋อติงต้องการทำอะไรกันแน่ เขาคิดว่าใช้อำนาจความสัมพันธ์ในแวดวงธุรกิจ ก็กดดันอะไรได้”

หยุดไปครู่หนึ่ง หลินอิ่งก็พูดต่อ “คริส ทางด้านจี้ฉงซาน มีเบาะแสอะไรหรือยัง?”

“ประธานหลิน ช่วงนี้จี้ฉงซานไม่ได้เผยโฉมในที่สาธารณะที่เมืองก่างเลย เงียบมาก”

คริสพูดอย่างจริงจัง “ ผมให้คนจับตามองบริษัทในนามของจี้ฉงซานแล้ว จะได้เบาะแสความเคลื่อนไหวของเขาอย่างเร็วที่สุด”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “จับตาดูต่อไป”

ถึงเขาจะสั่งคริสเรียกคนมาเพิ่ม จะเป็นสายลับหน่วยสืบสวนมืออาชีพที่หามาจากสายลับหน่อยสืบสวนของแต่ละประเทศ แต่นี่เป็นเมืองก่าง อยากหาที่ซ่อนตัวของจิ้งจอกพันปีอย่างจี้ฉงซาน ก็ไม่ค่อยเหมาะสม

หลังจากจี้ฉงซานจับตัวหยูจื๋อเฉิง ต้องเป็นเต่าหดหัวแน่นอน ต้องหาโอกาสมาลอบกัดเขาในที่ลับแน่นอน

สิ่งที่ตัวเองจะทำ ก็คือทำลายดินแดนธุรกิจของจี้ฉงซาน นี่คือพื้นฐานที่จี้ฉงซานต้องพึ่ง บีบจนเขากระโดดโลดเต้น แล้ววิ่งออกมาเอง

หลินอิ่งรู้ดี นายทุนใหญ่อย่างจี้ฉงซาน ฆ่าคนทั้งครอบครัวของเขาก็อาจจะทำให้เขาออกมาได้ แต่ว่า ดินแดนธุรกิจของเขาสำหรับเขาแล้ว นั่นสำคัญกว่าชีวิตพ่อแม่พี่น้องของเขาอีก ก็เหมือนกับชีวิตของเขา

“ใช่ ประธานหลิน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีครับ ขอแค่จี้ฉงซานออกมา หนีแหล่งข่าวของผมไปไม่ได้แน่” คริสพูดอย่างจริงจัง

ถึงแม้คริสจะไม่รู้ว่าประธานหลินคิดยังไงกับมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองก่างคนนั้นยังไง แต่ว่า ก็ทำตามอย่างไร้กังวล จับตาไว้ก็พอ

สำหรับความสามารถของประธานหลิน เขาเชื่อมั่นอย่างไม่มีข้อสงสัย ประธานหลินทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง ฝีมือก็เก่งกาจน่ากลัว

อย่างเมืองตงไห่อันใหญ่โต ประธานหลินก็ทำได้อย่างง่ายดาย ส่งเสิ่นซานกับเจียงฉีขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ ควบคุมวงการธุรกิจตงไห่และโลกแห่งความมืดอย่างเด็ดขาด ควบคุมทุกอย่าง

ประธานหลินถึงจะไม่แสดงออก แต่ในที่ลับ เป็นราชาแห่งตงไห่อย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนเขาคริส มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าไม่แพ้เสิ่นซานและเจียงฉีแน่นอน ขอแค่ซื่อสัตย์ตั้งใจทำงานให้ประธานหลิน อนาคตข้างหน้าไร้ขีดจำกัด และต้องพัฒนาที่เมืองก่าง เปิดโลกใบใหม่ได้แน่นอน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท