ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 399 คุณชายอันดับหนึ่ง จ้าวเฉิงเฉียน

บทที่ 399 คุณชายอันดับหนึ่ง จ้าวเฉิงเฉียน

“ได้ค่ะ แม่ หนูจะไปถามหลินอิ่งให้รู้เรื่อง” จางฉีโม่พูดหนักแน่น ยิ่งฟังในใจยิ่งอึดอัด

พูดจบ เธอก็หลับห้องนอนตัวเอง

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์มา ทำให้จางฉีโม่รู้สึกผิดปกติมาก

เรื่องระหว่างหลินอิ่งกับจ้าวหลินเอ๋อร์ ดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายแบบนั้น

เบื้องหลังของจ้าวหลินเอ๋อร์ ตอนเธออยู่ตี้จิงก็ไปสืบโดยเฉพาะ เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมาก เบื้องหลังสูงส่ง……

จางฉีโม่เต็มไปด้วยความในใจ นั่งอยู่บนเตียง กัดริมฝีปาก มองดูโทรศัพท์

ลังเลไปนานมาก เธอโทรไปหาหลินอิ่ง

หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้……

“หลินอิ่งไม่รับโทรศัพท์ของฉัน? เพราะอะไร?” จางฉีโม่บ่นพึมพำ สีหน้าผิดหวัง

…….

อีกด้านหนึ่ง เมืองชิงหยูน โรงแรมชิงหยูน

ในห้องรับรองชั้นสิบ

เสิ่นซานกับเจียงฉีนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มคนหนึ่งบุคลิกดูดี หน้าตาหล่อเหลา นั่งอยู่ตรงกลาง เทเหล้าให้เขาสองคน

“ได้ยินว่า คุณสองคนเป็นลูกน้องคนสำคัญของหลินอิ่ง?” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น “เห็นแก่หน้าน้องสาวฉัน ผมไม่ฆ่าคุณสองคน แต่ว่า ก่อนที่เรื่องของน้องสาวผมจะทำสำเร็จ พวกคุณสองคน ก็อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหนทั้งนั้น”

เสิ่นซานกับเจียงฉีสีหน้าไม่ดี พูดอะไรไม่ออก

“คุณจ้าว คุณกับประธานหลิน มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่?” เสิ่นซานถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พวกเขาสองคนตอนแรกอยู่ในบริษัท ช่วยหลินอิ่งจัดการธุรกิจในเมืองตงไห่ มียอดฝีมือหลายคนปรากฏตัวกะทันหัน จับตัวมา

บอดี้การ์ดข้างกายไม่ใช่คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย แม้แต่หลิวจุนสามพี่น้องก็ถูกชายหนุ่มลึกลับตรงหน้าคนนี้ ซ้อมจนไม่มีทางสู้

ตอนนี้ ยิ่งถูกคุณจ้าวท่านนี้ให้คนโหดทั้งทีมพร้อมอาวุธ กักขังตัวไว้ในโรงแรมชิงหยูน

“ความสัมพันธ์อะไร? อืม ผมขอคิดดูก่อน” คุณจ้าวพูดอย่างสบายใจ จีบไวน์ไปคำหนึ่ง “ก็ต้องดูว่าหลินอิ่งมีความสามารถแค่ไหน ถ้าเขาทำตัวดี ก็อาจจะโชคดีได้เป็นน้องเขยของผมจ้าวเฉิงเฉียน ถ้าทำตัวไม่ดี แบบนี้ เขาก็จะเป็นมดที่ถูกผมบีบตาย”

ได้ยินแล้ว เสิ่นซานกับเจียงฉีเหงื่อท่วมหัว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

คุณจ้างเด็กหนุ่มอันลึกลับท่านนี้ ท่าทางน่ากลัว นั่งตรงนี้ ให้ความกดดันในใจพวกเราอย่างมาก

พูดตามตรง พวกเขาสองคนอยู่ในเมืองตงไห่ก็ถือว่าเป็นใหญ่แล้ว นั่งกินข้าวกับนักการเมืองเศรษฐีร่ำรวยมากมาย ไม่ค่อยเห็นคนที่มีท่าทางที่ทำให้พวกเขากลัวได้

โดยเฉพาะ คุณจ้าวท่านนี้ ฝีมือน่ากลัว ยอดฝีมือที่ติดตามอยู่ข้างกายก็เก่งกาจจนคิดไม่ถึง

ต้องรู้ว่า พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐีตงไห่ เป็นผู้นำด้านธุรกิจของตงไห่ อีกคนเป็นฮ่องเต้โลกใต้ดิน ผู้นำของตงไห่

ปกติข้างกายก็มียอดฝีมือนักแม่นปืนทั้งทีม

ปรากฏว่า กลับถูกคุณจ้างคนนี้ล้มทีมบอดี้การ์ดอย่างง่ายดาย แล้วจับคนไป

“พี่ พี่บอกว่าพี่รู้ว่าหลินอิ่งไปไหน? รีบบอกหนู เขาอยู่ไหน?”

เวลานี้ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

จ้าวหลินเอ๋อร์เดินเข้ามา สีหน้าเร่งรีบ เหมือนอยากรู้มากว่าหลินอิ่งไปไหน

“เห้อ น้อง จะรีบร้อนอยากรู้ว่าหลินอิ่งมันอยู่ไหนขนาดนี้เลยเหรอ?” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้ว “ฉันเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอนะ พี่ชายเธอ ได้ยินว่าเธอถูกรังแก รีบกลับมาจากต่างประเทศ จะไม่เป็นห่วงกันสักนิดเลย ในใจมีแต่ไอ้เด็กเวรหลินอิ่งนั่น ไอ้เด็กนั้นมีดีขนาดนั้น?

“พี่ อย่าพูดมาก รีบบอกหนูมา หลินอิ่งอยู่ไหน?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามสีหน้าจริงจัง

จ้าวเฉิงเฉียนส่ายหัว ดื่มเหล้าไปคำหนึ่ง พูดว่า “หลินอิ่ง ไปเมืองก่างแล้ว”

“เขาพาคริสของลาตินกรุ๊ปไป รายละเอียดไปทำไม พี่ถามคนของลาตินกรุ๊ปเมืองชิงหยูน พวกเขาไม่รู้”

“ไปเมืองก่าง? เขาไปที่นั่นทำไม?” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าสงสัย

“เหอะ เรื่องนี้ไอ้เด็กนั่น พี่ก็ชื่นชมอยู่ ใจเด็ดพอ” จ้าวเฉิงเฉียงหัวเราะจางๆ “เขาไปจัดการกับมหาเศรษฐีเมืองต่างจี้ฉงซาน พี่ไปสืบมา จี้ฉงซานจับตัวลูกน้องหลินอิ่ง หยูจื๋อเฉิงที่ตี้จิง”

“อะไร? หนูอยู่ตี้จิงทำไมไม่เคยได้ยิน? เขาไปหาเรื่องจี้ฉงซานที่เมืองก่าง? นี่อันตรายมากนะ” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้ากังวล “พี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“เห้อ น้องพี่ นี่มันอะไรกัน? ไอ้เด็กหลินอิ่งนั้นน้องก็ไม่ได้เจอมาสิบกว่าปีแล้ว นี่เพิ่งเจอครั้งเดียว ก็หลงใหลแล้ว?” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้ว ท่าทางไม่พอใจ

เขามีน้องสางคนนี้คนเดียว ถูกดูแลรักใคร่อยู่อย่างสูงส่ง ทำไมถึงเพราะผู้ชายคนเดียว ก็เป็นแบบนี้? นี่มันคุณหนูจ้าวทั้งคนนะเนี่ย กลายเป็นอะไรไปแล้ว?

“เธอไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ ข่าวนี้ถูกหลุยกงแห่งตี้จิงปิดข่าวไว้ ตอนนั้นหลินอิ่งไปทุบร้านอาหารหลุยกง” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างช้าๆ

จ้าวหลินเอ๋อร์พูด “พี่ ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องช่วยหนูไปที่เมืองก่างรอบหนึ่ง พาหลินอิ่งกลับมา ต้องสั่งสอนเขาหน่อย แต่ว่า ห้ามให้จี้ฉงซานรังแกเขา”

“รู้แล้ว วางใจเถอะ พี่จะไปเมืองก่างด้วยตัวเอง เครื่องบินส่วนตัวของพี่ออกเดินทางคืนนี้” จ้าวเฉิงเฉียนจุดซิการ์ ท่าทางน่าเกรงขาม “หลินอิ่งพี่จะพากลับมาให้เธอ จี้ฉงซานจะเก่งกาจแค่ไหนในเมืองก่าง ก็ต้องเคารพพี่ ถ้าให้พี่ฆ่าล้างมัน ก็เป็นแค่เรื่องพลิกฝ่ามือ”

“แต่ว่า น้องพี่ พี่ต้องพูดให้ชัดเจนนะ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสายตาเฉียบคม “น้องสาวแท้ๆของพี่จ้าวเฉิงเฉียน เป็นผู้หญิงสูงส่ง อย่าแต่งงานกับน้องสาวพี่ ต้องผ่านการทดสอบจากพี่ ลูกตระกูลฉี หลินอิ่ง ถ้าไม่คู่ควรกับน้อง พี่จะฆ่ามันด้วยมือพี่เอง”

“ก็ไม่รู้จักคิด ผู้ชายที่อยากจีบน้องสาวพี่ ต้องเข้าแถวตั้งแต่ตี้จิงถึงฝรั่งเศสโน่น”

“ไม่ พี่ พี่ห้ามฆ่าเขานะ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูด “หลินอิ่งเป็นผู้ชายที่หนูเลือก ต้องเป็นเขาเท่านั้น อีกอย่าง ท่านฉู่เคยพูด ความสามารถของหลินอิ่งอยู่เหนือเขา”

“ท่านฉู่?” จ้าวเฉิงเฉียนส่ายหัว มุมปากยิ้มขึ้น “งั้นท่านฉู่ไม่บอกเธอเหรอ ว่ารับมือพี่ชายเธอไม่ได้หนึ่งท่า?”

“พี่ก็อยากเห็นเหมือนกัน ผู้ฆ่าล้างตระกูลเหวินหลินอิ่งจะเก่งแค่ไหน ยังมีคนเรียกคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิง? มีใครไม่รู้จัก คุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิง คือจ้าวเฉิงเฉียนคนนี้? เหอะเหอะ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเชื่องช้า “เธอก็รอข่าวดีของพี่อยู่ที่เมืองชิงหยูน เธอจะไปเล่นงานครอบครัวจางฉีโม่ไม่ใช่เหรอ? ไปจัดการเลย คนของหลินอิ่งที่อยู่ตงไห่ โดนพี่ควบคุมไว้แล้ว ก็คือสองคนนี้”

จ้าวหลินเอ๋อร์พยักหน้า สำหรับความสามารถของพี่ชายเธอจ้าวเฉิงเฉียง เธอมั่นใจมาก

ต้องรู้ว่า จ้าวเฉิงเฉียน เป็นถึงคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิง คนเรียกกันว่าลูกชายที่โดดเด่น

ในแวดวงสังคมตี้จิงนี้ ต่างเป็นที่ยอมรับของผู้ใหญ่รุ่นก่อน เป็นหัวหน้าผู้นำของคนรุ่นหลัง

ถึงแม้จะเคยเห็นอำนาจอันสูงส่งของหลินอิ่ง และฝีมืออันร้ายกาจ แต่เท่าที่จ้าวหลินเอ๋อดูแล้ว หลินอิ่งอย่างมากก็ประมาณเดียวกับพี่ชายของเธอ หรืออาจจะอ่อนกว่านิดหน่อย เพราะว่าหลินอิ่งเด็กกว่าพี่ชายเขาหลายปี

ได้พี่น้องตระกูลจ้าวพูดกัน

เสิ่นซานกับเจียงฉีเหงื่อท่วมหัว พวกเขาพอจะรู้แล้ว ฐานะของสองคนที่อยู่ตรงหน้า

ตระกูลจ้าวตี้จิง ลูกชายที่โดดเด่นแห่งตระกูลจ้าว

นี่ต้องเป็นสองพี่น้องแห่งตระกูลจ้าวแน่นอน เป็นที่รู้จักกันที่ครอบครัวในตี้จิงสำหรับบุตรและเทพธิดาแห่งสวรรค์สองคนนี้

คิดไม่ถึง ว่าประธานหลินจะมาเจอกับสองคนนี้? ได้ยินว่า ประธานหลินยังจัดการเรื่องใหญ่อยู่ที่เมืองก่าง จะจัดการมหาเศรษฐีเมืองก่าง?

เหมือนดั่งสงครามเทวดา……เห้อ พวกเขาสองคน ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่โอกาสรายงานข่าวให้ประธานหลินก็ไม่มี

“นายกเทศมนตรีหลี่ ฉันต้องการให้ทางการออกหน้า เวลาสามวัน ทำให้บริษัทจางฉีโม่ล้มละลาย ฉันต้องการให้เขาหมดสิ้นทุกอย่าง กลับไปเป็นเหมือนเดิม” จ้าวหลินเอ๋อร์โทรศัพท์ ออกคำสั่งอย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท