ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 408 ทำงานต้องลับมีดก่อน

บทที่ 408 ทำงานต้องลับมีดก่อน

บทที่ 408 ทำงานต้องลับมีดก่อน
หลินอิ่งส่ายหน้า มุมปากยิ้มขึ้น

คนที่หลงตัวเองคิดอะไรไปเองแบบนี้ ไม่มีอะไรต้องพูดด้วย

เข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในสายตานั้น ก็คือโลกทั้งใบ

“หยินจุน นายพูดเกินไปแล้วนะ”

ฉู่ฉู่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา

“ฉันเคยพูดแล้ว ว่าคุณหลินเป็นแขกคนสำคัญของพ่อฉัน พวกเธอพูดอะไรระวังกันหน่อย พอได้แล้ว”

จากคำต่อว่านี้ สีหน้าหยินจุนเปลี่ยนทันที แววตาอิจฉาลุกเป็นไฟ จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ

เทพธิดาของเขา ฉู่ฉู่ ต่อว่าเขาต่อหน้าไอ้บ้านนอกคนหนึ่ง ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย?

“คุณหลิน พวกคุณเข้าไปก่อนดีกว่า ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณอึดอัดใจ” ฉู่ฉู่พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ใช่คนสำคัญอะไร ผมไม่ถือสา” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

พูดไป ทั้งสองคนก็หันตัวเดินเข้าไปในห้องรับรอง

“ฉู่ฉู่ ทำไมเธอต้องขอโทษคนแบบนี้ด้วย? ไม่จำเป็นต้องเคารพมัน คนแบบนี้มันไม่มีสิทธิ์” หยินปิงพูดอย่างไม่พอใจ รู้สึกว่าฉู่ฉู่ไม่ไว้หน้าเธอและน้องชาย

หยินจุนสีหน้าแดงก่ำ รู้สึกอารมณ์ไม่ดี และไม่พอใจ

ฉู่ฉู่ต่อว่าเขา แต่กลับหันกลับไปขอโทษหลินอิ่ง?

มีสิทธิ์อะไร?

ทำไมไอ้ต้มตุ๋นแบบนี้ ถึงได้รับความชื่นชมจากฉู่ฉู่?

“แสดงเก่งมากนะ? คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ไม่ถือสา? แกกล้ามีเรื่องกับฉันเหรอ?” หยินจุนพูดเสียงเย็นชา เหมือนกับถูกเหยียดยามอย่างร้ายแรง โมโหจนอยากพุ่งเข้าไปตบหน้าหลินอิ่ง

หลินอิ่งไม่พูดอะไร แค่ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหัว

สำหรับท่าทางของหลินอิ่ง ยิ่งทำให้หยินจุนรู้สึกโมโห รู้สึกว่านี่เป็นการเยาะเย้ย

หยินจุนยืนมองหลินอิ่งเดินจากไปพร้อมฉู่ฉู่แบบนั้น ทำให้ความโมโหในใจเขาลุกเป็นไฟ

“สักวันฉันต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของแก ไอ้ต้มตุ๋น” หยินจุนต้องหลังหลินอิ่งด้วยสีหน้าอาฆาต ไม่พอใจ

ไม่นาน หลินอิ่งกับฉู่ฉู่มาถึงห้องรับรองในงานเลี้ยง

บนโต๊ะจัดอาหารเลิศรสไว้เต็มโต๊ะ และไวน์ฝรั่งเศสสองขวด

ฉู่ฉู่เข้าไปเทไวน์สองแก้ว แล้วยื่นให้หลินอิ่ง

“คุณหลิน ฉันดื่มให้คุณ เรื่องเข้าใจผิดในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะฉัน ต้องขอโทษด้วยที่ต้อนรับได้ไม่ดี หวังว่าคุณจะไม่ถือสา” ฉู่ฉู่พูดอย่างรู้สึกละอายใจ

หลินอิ่งพยักหน้า รับแก้วไวน์มา

ปกติเขาไม่ค่อยดื่มเหล้า

เหมือนดั่งคำว่า ดื่มเหล้าเปิดเผยฐานะ

ฉู่ฉู่ผู้หญิงคนนี้ ถือว่าเป็นคนมีความรู้ มีมารยาทรู้จักกาลเทศะ

กับเธอ ความประทับใจใช้ได้

“เรื่องเล็ก” หลินอิ่งดื่มหมดแก้ว

ฉู่ฉู่ดื่มหมดหนึ่งแก้ว ใบหน้าเริ่มแดงเล็กน้อย เหมือนจะต้านแรงแอลกอฮอล์ไม่ไหว

แต่ว่า แต่เธอก็เติมอีกหนึ่งแก้ว

“คุณหลิน แก้วนี้ ขอคุณที่คุณช่วยน้องชายฉันไว้” ฉู่ฉู่มือข้างหนึ่งปังแก้วไว้ ดื่มลงไปอย่างสง่า

หลินอิ่งพยักหน้า ดื่มเล็กน้อย แล้ววางแก้วลง

“ใช่แล้ว คุณหลิน ยังไม่เคยถามชื่อของคุณ ขออภัยด้วยไม่ทราบว่าคุณเป็นคนที่ไหน?” ฉู่ฉู่ถาม

ก๊อกก๊อก

เวลาเดียวกัน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาคือเลขาของฉู่สงซาน

“คุณหลิน ทางด้านประธานฉู่จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านไปได้” เลขาพูดอย่างเคารพ

หลินอิ่งพยักหน้า “พาผมไปได้”

ฉู่ฉู่อยากพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด ดวงตาสดใสเป็นประกาย พูดว่า “คุณหลิน ถ้าครั้งต่อไปว่าง เราค่อยคุยกัน”

จากการนำทางของเลขา หลินอิ่งมาถึงห้องรับรองที่อยู่ชั้นบน

นี่เป็นห้องรับรองที่ตกแต่งในแบบย้อนยุคดูมีกลิ่นอายการย้อนยุค บนผนังแขวนภาพวาดสีน้ำแบบโบราณ ดูเรียบง่ายสง่า

นี่ก็คือการต้อนรับแขกของฉู่สงซาน ตอนที่คุยกับหลินอิ่งที่ออฟฟิศประธาน พูดถึงเรื่องภาพวาดสีน้ำ เขาก็พอรู้ถึงความชอบของหลินอิ่ง จึงได้จัดห้องรับรองที่เป็นแบบโบราณโดยเฉพาะ

ในห้องรับรอง ฉู่สงซานนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ด้านข้างเป็นชายหนุ่มใส่แว่นในชุดสูทเรียบร้อย

“คุณหลิน มาแล้วเหรอครับ เชิญนั่ง” ฉู่สงซานใบหน้ายิ้มแย้ม ลุกขึ้นต้อนรับ

หลินอิ่งพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงสีหน้าเรียบเฉย

ฉู่สงซานเทน้ำชาให้อย่างเคารพ หลินอิ่งยกน้ำชาขึ้นดื่ม

“ประธานฉู่ เรื่องจัดการเรียบร้อยหรือยัง?” หลินอิ่งถาม

ฉู่สงซานพยักหน้า พูด “เรื่องที่คุณสั่งเมื่อวาน ทางผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว”

“คุณหลิน ผมขอแนะนำหน่อยนะครับ ท่านนี้คือประธานของบริษัทสื่อกลางตระกูลเฉียน เฉียนจ้วน”

“เสี่ยวเฉียน ท่านนี้คือเพื่อนร่วมธุรกิจคนสำคัญของผม คุณหลิน”

ฉู่สงซานพูด “ทุกคนก็เป็นคนกันเอง เรื่องอื่นก็ไม่พูดแล้ว เสี่ยวเฉียน รายงานข้อมูลที่ได้มาให้คุณหลินฟังเลย”

เฉียนจ้วนมีบุคลิกคนมีความรู้ หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าทำงาน มองไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างจริงจัง “สวัสดีครับ คุณหลิน”

“สวัสดี” หลินอิ่งพยักหน้า

ก่อนหน้านี้เขาให้ฉู่สงซานไปสืบหาข้อมูลรายละเอียดของจี้ฉงซาน รวมถึงข้อมูลหลักฐานตั้งแต่จี้ฉงซานสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ตลอดทางใช้วิธีที่สกปรกเลือดเย็นต่างๆนานาทั้งหมด

เตรียมจะเปิดสงครามด้านข่าวสารมติชนกับจี้ฉงซาน

เพราะว่า ด้านสื่อและโทรทัศน์ข่าวสารทั้งหลายในเมืองก่าง ล้วนควบคุมในมือของจี้ฉงซาน สื่อโทรทัศน์ทั้งหมดต่างก็ชื่นชมจี้ฉงซานอย่างไร้สมอง ไม่มีหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ช่องไหนกล้าพูดถึงเขาในแง่ลบแม้แต่นิดเดียว

ทรัพยากรด้านสื่อและโทรทัศน์เมืองก่าง ตัวเองยังไม่เคยยุ่งเกี่ยว

ส่วนฉู่สงซาน มีเครือข่ายสื่อที่ไว้ใจได้ในมือ กล้าเปิดเผยข่าวที่เกี่ยวกับจี้ฉงซาน

“คุณหลิน ข้อมูลที่คุณให้ผมไปรวบรวม อยู่ในนี้แล้ว” เฉียนจ้วนพูดอย่างเคร่งขรึม “จี้ฉงซานสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้ ก็เพราะการเก็งกำไรจากการซื้อที่กิน ลงทุนในตลาดหุ่น เขาอาศัยความสัมพันธ์จากบริษัทนายทุนต่างชาติและพวกเจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ เรื่องนี้ในสังคมเมืองก่าง ความจริงก็ไม่ใช่ความลับ”

“ส่วนในเอกสารนี้ มีเรื่องที่จี้สงซานหลอกเหล่านักเล่นหุ้น ควบคุมอสังหาริมทรัพย์ บีบจนคนทำงานและกลุ่มทาสบ้านต้องโดดตึกตายกันนับไม่ถ้วน อีกอย่าง ยังมีโรงงานเถื่อนหลายแห่งที่เขาเปิด เพื่อผลกำไร ผลประโยชน์ที่สูงที่สุด เคยทำกับแรงงานจำนวนมากยิ่งกว่าสัตว์ ทำให้ให้คนกลุ่มนั้นเป็นมะเร็ง และเขาเคยฆ่าปิดปากนักข่าวที่เปิดโปงข่าวเรื่องโรงงานป่าเถื่อนของเขา”

“หลักฐานชัดเจน หลักฐานผมมี พยานผมก็มี”

หลินอิ่งไม่แสดงอาการใดๆ รับเอกสารมาเปิดดู

ต้องพูดว่า ฉู่สงซานทำงานได้คุณภาพสูงมาก ลูกน้องทำงานก็น่าเชื่อถือ

จี้ฉงซาน เจ้าสัวจี้ คนที่ความโลภเข้าถึงกระดูกแบบนี้ นักทุนนิยมที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยการดื่มเลือดเนื้อคนอื่น มีร่องรอยมากมายขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เพราะว่า จี้ฉงซานไม่นักธุรกิจแบบดั้งเดิม เขาเป็นนักทุนนิยมต่างชาติเท่านั้น วิธีโหดเหี้ยมเลือดเย็น ศูนย์กลางธุรกิจก็คือการเก็งราคาที่ดินสิ่งปลูกสร้าง ควบคุมราคาหุ้นราคาอสังหาริมทรัพย์ พูดตรงๆก็คือ พวกนายทุนที่ดินที่ขูดรีดคนจน

พฤติกรรมทั้งหมดของเขา ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติแม้แต่นิดเดียว ล้วนอาศัยกิจการที่ซื้อมาหลังร่ำรวยแล้วเพื่อเป็นเครื่องมือบังหน้า และการยกย่องจากพวกสื่อต่างๆ

ความเป็นจริง ก็คือร่วมมือกับหน่วยงานต่างชาติ ขุดเลือดขุดเนื้อประเทศหลุง แล้วโอนทรัพย์สินไปต่างประเทศ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท