ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 414 ใครเป็นพ่อกันแน่?

บทที่ 414 ใครเป็นพ่อกันแน่?

“วุ่นวายกันจริงๆ” ฉู่สงซานสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา หันไปมองหยินต้าชิว

“พี่หยิน ต้องสั่งสอนหยินจุนดีๆหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้น สักวันต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่” ฉู่สงซานพูดด้วยความโมโห

หยินต้าชิวสีหน้าไม่ค่อยดี พูดว่า “ออกไปดูก่อนละกัน”

เขาคิดในใจ ลูกชายตัวเองถูกบอดี้การ์ดหลินอิ่งทำร้ายแล้ว หาคนไปจัดการบอดี้การ์ดหลินอิ่ง ทำไมจะไม่ได้? ฉู่สงซานจำเป็นต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอ?

ครอบครัวตัวเองก็ถอยหนึ่งก้าวแล้ว ไม่ได้ไปหาเรื่องหลินอิ่ง หรือแม้แต่หาเรื่องบอดี้การ์ดหลินอิ่งก็ไม่ได้?

กำลังพูดอยู่ พวกเขาก็เดินออกจากห้องอาหาร เข้าไปในงาน

แขกที่มาในงานพากันออกไปตั้งนานแล้ว มีเพียงหยินจุนสองพี่กับที่กำลังเผชิญหน้ากับฮาเดส

“ไอ้หมาหน้าโง่ ยังกล้าสู้กลับอีก? ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษอีก”

หยินต้าชิวสายตาโหดเหี้ยม ชี้หน้าด่าฮาเดส

ด้านหลังหยินต้าชิว มีบอดี้การ์ดหน้าโหดติดตามอยู่หลายคน ยังมีอีกหลายคนที่ถูกต่อยจนเลือดเต็มหัว จ้องหน้าฮาเดสอย่างไม่พอใจ

เผชิญหน้ากับคำด่าของหยินจุน ฮาเดสมือกอดอก มุมปากยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“หยินจุน ลุงบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ออกไป? ทำไมยังพาคนมาสร้างปัญหาอีก?”

ฉู่สงซานเดินเข้าไป สีหน้าเคร่งเครียด พูดจาต่อว่า

หยินจุนนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ

ตักเตือนอย่างรุนแรงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เชื่อฟังอีก?

หาเรื่องหลินอิ่งไม่ได้ ยังจะมาหาเรื่องบอดี้การ์ดหลินอิ่งอีก?

“ลุงฉู่ เรื่องนี้ โทษผมไม่ได้” หยินจุนพูดอย่างไม่พอใจ “เรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนก่อ เพราะไอ้บอดี้การ์ดหน้าโง่ของหลินอิ่ง มันลงมือก่อน”

“ลุงฉู่ นี่เป็นงานเลี้ยงที่คุณลุงจัดขึ้น นายคนนี้มันลงมือกับผมในงาน ผมทนไม่ได้จริง”

ฉู่สงซานไม่ได้พูด หันไปมองหลินอิ่ง

คนของหลินอิ่ง เขาไม่กล้าสั่งสอน

“หยินจุน เกิดเรื่องขึ้นได้ยังไง? ใครลงมือก่อน?” หยินต้าชิวสีหน้าโมโห ถามเสียงขรึม

ทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้ เขาก็กลั้นความโมโหเต็มท้องแล้ว คราวนี้ แม้แต่บอดี้การ์ดหลินอิ่งก็รังแกขึ้นมาถึงหัวเขา?

หยินจุนพูด “พ่อ ไอ้บอดี้การ์ดคนนี้มันหาเรื่องก่อน เข้ามาก็ทำร้ายบอดี้การ์ดของเราสองคนจนบาดเจ็บหัวแตก ผมทนท่าทางอวดดีของมันไม่ได้ ก็เลยเรียกคนมา”

“แค่บอดี้การ์ดคนเดียว ทำอะไรทำไมถึงได้อวดดีสามหาวขนาดนี้? เย่อหยิ่งอวดดีทั้งเจ้านายลูกน้อง” หยินต้าชิวมองหลินอิ่งเย็นชา หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไอ้แซ่หลิน ครั้งนี้ นายจะอธิบายยังไงกับฉัน? บอดี้การ์ดนายไม่รู้กาลเทศะ งั้นฉันก็จะช่วยนายสั่งสอนมันเอง”

“น้องฉู่ ครั้งนี้ ไม่ใช่ฉันไม่มีเหตุผลแล้วนะ วันนี้ ฉันต้องจัดการไอ้บอดี้การ์ดหน้าโง่นี่แล้ว”

หยินต้าชิวฉวยโอกาสนี้ระบายอารมณ์ มองไปที่ฉู่สงซาน

ถึงจะทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้ วันนี้เขาก็ต้องเรียกศักดิ์ศรีคืนมาจากตัวบอดี้การ์ดหลินอิ่งให้ได้

ฉู่สงซานจะปกป้องหลินอิ่งแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องแม้แต่บอดี้การ์ดของหลินอิ่ง

“ประธานหลิน ผมเป็นคนลงมือก่อน” ฮาเดสสีหน้าถ่อมตัวหันไปมองหลินอิ่ง แล้วรายงานเขา “แต่ว่า เมื่อกี้ผมนั่งลิ้มรสไวน์อยู่ ไอ้เด็กนี่สั่งคนมาเทเหล้าอาหารของผมทิ้ง ผมแค่สั่งสอนพวกมันนิดหน่อย”

หลินอิ่งพยักหน้า หันไปมองหยินต้าชิวสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “คุณจะสั่งสอนคนของผม?”

“ไม่ต้องพูดว่าลูกชายคุณหาเรื่องก่อน ถึงแม้จะเป็นบอดี้การ์ดผมก่อเรื่องก่อน ก็ยังไม่ใช่สิทธิ์คุณที่จะมาสั่งสอน”

“อวดดี” หยินต้าชิวระเบิดความโมโหที่อดกลั้นมานาน “แกอย่าคิดว่าน้องฉู่เขาคุ้มกะลาหัวแกอยู่ ก็ไม่เห็นคนอื่นในสายตา”

“แกควรรู้จักแยกแยะฐานะอายุหน่อย เป็นเด็กรุ่นหลัง ยังมาอวดดีที่นี่ แกคิดว่าแกเป็นใคร?”

หยินต้าชิวตะโกนด่า พูดเสียงเย็นชา “วันนี้ ยังไงฉันก็ต้องสั่งสอนคนของแก ฉันจะดูว่าแกจะทำอะไรฉันได้”

“หยินจุน บอดี้การ์ดคนนี้มันลงมือกับลูกก่อน จับมันไว้ หักมือมันที่เลยเดี๋ยวนี้เลย” หยินต้าชิวพูดด้วยสีหน้ายโสโอหัง

ตอนที่พูด บอดี้การ์ดที่หยินต้าชิวพามา แต่ละคนสายตาโหดเหี้ยม ถูมือตัวเองเดินเข้าไปล้อมไว้

“หัวหน้าสมาคมหยิน นี่คุณจะทำอะไร?” ฉู่สงซานถามเสียวเคร่งขรึม

“น้องฉู่ มันคนละเรื่องกันนะ” หยินต้าชิวพูดด้วยสีหน้าโมโห “นายบอกไม่ให้ทำหลินอิ่ง ฉันไว้หน้านาย แต่นี่ บอดี้การ์ดคนนี้ตบหน้าลูกชายฉัน ตอนนี้ยังมาหาเรื่องอีก”

“วันนี้ถ้าฉันไม่หักมือมันที่นี่ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? หรือจะให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะฉันหยินต้าชิว แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้?”

“เหอะ” หลินอิ่งส่ายหัว หัวเราะเย็นชา

“บางที ต้องให้คุณรู้แล้ว ว่าวันนี้ที่นี่งานนี้ใครเป็นพ่อกันแน่”

“ฮาเดส โทรศัพท์ให้คริสพาคนมา”

น้ำเสียงเรียบเฉยพูดจบ สีหน้าหยินต้าชิวก็ตะลึงทันที

“ครับ”

ฮาเดสตอบรับอย่างเคารพ หยิบมือถือออกมาโทรออกไปทันที

ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หลินอิ่งก็จัดการให้คริสพาคนมาแล้ว รอคำสั่งอยู่ที่ห้องรับรองแขกชั้นล่างตั้งนานแล้ว

ตอนแรก ตั้งใจให้คริสมาคุยเรื่องธุรกิจ

ตอนนี้ ดูท่าแล้ว ต้องให้คริสจัดการเรื่องอื่นแล้ว

“อะไรคริส ครุสของแก? แม่แกเอ้ย ยังมาแสดงอะไรที่นี่อีก แสดงจนคิดว่าตัวเองเป็นหมาป่าแล้ว?” หยินต้าชิวมองหลินอิ่งอย่างดูถูก “ยังจะเรียกคนมา? แกคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โตแล้วเหรอ? ไอ้บ้านนอก”

“ลุงฉู่ ลุงเห็นแล้วใช่ไหม ไอ้หลินอิ่งนี่มันก็แค่นักเลงกระจอกๆ คงจะรู้จักนักเลงข้างนอกไม่กี่คน ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โต ยังกล้าเรียกคนมาสู้กับพ่อหนู?” หยินปิงก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม พูดจาเสียดสี “ไม่รู้จักดูว่านี่มันสถานที่อะไร? ไอ้บ้านนอกอย่างแกจะไปเรียกใครมาได้? ฉันว่าแกนี่มันก็ดีแต่ทำให้ลุงฉู่ขายหน้า”

น่าตลกสิ้นดี ไอ้หลินอิ่งนี่มันคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ผุดมาจากไหนก็ไม่รู้ อาศัยความสัมพันธ์กับฉู่สงซานนิดหน่อย ก็คิดจะกระโดดขึ้นสวรรค์แล้ว

ไม่รู้จักคิด ฉู่สงซานกับหยินต้าชิวคนใหญ่คนโตแห่งเมืองก่างอยู่นี่ มีใครกล้ามาหาเรื่อง?

เมื่อกี้หยินต้าชิวได้ยินชื่อของคริสแล้ว ก็สีหน้าแปลกใจ จากนั้น ก็หันไปมองหลินอิ่งด้วยแววตาเหยียดหยาม

“ท่าทางแกมันก็แค่ไอ้เด็กบ้านนอกยากจนแบบนี้? ยังจะโทรเรียกคริสมา? แกรู้ไหมว่าคริสเป็นใคร?” หยินต้าชิวพูดด้วยสีหน้าดูถูก “คงไม่ใช่เพราะได้ยินฉันคุยธุระกับน้องฉู่เมื่อกี้หรอกนะ ได้ยินชื่อของคนคนนี้ ก็เลยเอามาแต่งละครแล้ว?”

“ฉันขอพูดอะไรไม่น่าฟังหน่อยนะ ไอ้หน้าโง่อย่างแก สามารถรู้จักกับน้องฉู่ ก็ถือว่าเป็นบุญที่สะสมมาแต่ชาติก่อนแล้ว คนในชนชั้นต่ำสุดอย่างแก แม้แต่รองเท้าพวกเรายังไม่มีสิทธิ์ได้เลียเลย แกรู้ไหม?”

หยินต้าชิวไม่เชื่อแม้แต่น้อย คนต่ำต้อยอย่างหลินอิ่ง จะสามารถโทรหาคริสได้

ต้องรู้ว่า วันนี้คริสเป็นถึงผู้มีบารมีที่ร้อนแรงในเมืองก่าง ไม่เพียงแค่แทนที่ตำแหน่งของโม่เก๋อติง ยังขยายโครงสร้างของลาตินกรุ๊ปเมืองก่างใหญ่โตกว่าเดิมอีก อำนาจล้นฟ้า

คนระดับคริส แม้แต่คนอย่างเขาหยินต้าชิวจะขอความช่วยเหลือ ก็ยังไม่มีปัญญา จึงต้องมาขอให้ฉู่สงซานช่วยเป็นสื่อกลาง

“กลัวแล้ว? ไม่กล้าพูดแล้ว? ฉันให้โอกาสนายสักครั้ง ฉันจะรอดูว่า นายจะเรียกนักเลงขี้หมาที่ไหนมาได้”

หยินต้าชิวหัวเราะอย่างดูถูก รอดูความอัปยศของหลินอิ่ง ว่าจะสร้างเรื่องให้ถูกหัวเราะเยาะขนาดไหน

“ประธานหลิน ผมมาแล้ว ไม่ทราบมีเรื่องอะไรจะสั่ง?”

เวลาเดียวกัน ภายในงานมีชายหนุ่มชุดสูทดำกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

จากการปกป้องของชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ มีชายต่างชาติวัยกลางคนใส่แว่นผมขาวคนหนึ่ง แววตาเป็นประกาย เดินมาข้างหน้าหลินอิ่ง ก้มหน้าอย่างถ่อมตัว

“นี่ คือคริส?”

หยินต้าชิวสีหน้าซีดขาวไปทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน