ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 409 รองประธานสมาคมธุรกิจเมืองก่าง

บทที่ 409 รองประธานสมาคมธุรกิจเมืองก่าง

บทที่ 409 รองประธานสมาคมธุรกิจเมืองก่าง
เรื่องนี้ ในแวดวงตระกูลผู้ดี ไม่ใช่ความลับ

เพียงแค่ว่า ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

จี้ฉงซานนั้นอยู่เหนือกฎหมายเมืองก่าง

โดยเฉพาะ เขายังมีสัญชาติของราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ถูกคุ้มครองด้วยกฎหมายต่างประเทศ

“ดีมาก ประธานฉู่ เดี๋ยวกลับไปคุณให้คนไปจัดทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดของจี้ฉงซาน ประวัติครอบครัวการสร้างตัว ทำเป็นแฟ้มเอกสาร แล้วก็หาเหยื่อผู้เสียหายเพื่อสัมภาษณ์ รวบรวมทำเป็นสารคดี” หลินอิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

ฉู่สงซานพูด “คุณหลิน เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เรื่องเลวทรามของจี้ฉงซานหาได้ง่ายมาก ผมหาเหยื่อผู้เสียหายและพยานได้มากมาย”

“เพียงแค่ว่า คุณหลิน ผมมีข้อสงสัยนิดหน่อย” ฉู่สงซานพูดเคร่งขรึม “ใช้แค่สื่ออย่างเดียว เกรงว่าจะสร้างผลกระทบต่อจี้ฉงซานได้ยาก”

“จากความสามารถของจี้ฉงซานแล้ว แค่ร่วมงานการกุศลครั้งสองครั้ง ใช้ทีมสื่อที่เขามีอยู่ ไม่นานก็สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาได้แล้ว”

ฉู่สงซานในใจรู้ดี ระดับจี้ฉงซาน อาศัยแค่สื่ออย่างเดียว โจมตีเขาล้มไม่ได้แน่นอน

ถึงแม้ข้อมูลที่รายงานทั้งหมดจะเป็นความจริง จี้ฉงซานก็สามารถปิดฝาได้อย่างง่ายดาย แล้วปิดข่าวทุกอย่างให้เงียบไป

เขาไม่เข้าใจ หลินอิ่งคิดจะทำยังไง

หลินอิ่งยิ้มจางๆ “เปิดเผยออกสื่อ เป็นเพียงแค่ฟางเส้นสุดท้ายที่ฆ่าอูฐ”

“จะล้มจี้ฉงซาน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ”

“ผม มีแผนการอย่างอื่น”

“คุณหลินมีแผนการอย่างอื่น?” ฉู่สงซานถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ทราบว่าผมช่วยอะไรได้บ้าง?”

ฉู่สงซานเป็นคนเด็ดเดี่ยว ในเมื่อตัดสินใจจะยืนข้างหลินอิ่งแล้ว ตัดสินใจจะล้มจี้ฉงซานไปด้วยกัน ก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด

เมื่อจี้ฉงซานล้มลง เก็บเค้กชิ้นใหญ่อย่างเมืองก่างไว้ นอกจากคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงแล้ว เขาก็สามารถได้ส่วนแบ่งด้วย

หลินอิ่งพูด “ประธานฉู่ เรื่องที่เหลือผมจะจัดการเอง คุณจัดการสองเรื่องนี้ให้ดีก็พอ”

“เรื่องที่หนึ่ง จัดการเก็บหลักฐานทั้งหมด เตรียมเสร็จแล้วส่งให้สำนักหนังสือพิมพ์ และเครือข่ายสื่อทั้งหมด เตรียมพร้อมในการเปิดเผยอย่างหนักตลอดเวลา ต้องให้รู้กันทั่วเครือข่าย รู้กันทั่วประเทศ”

“เรื่องที่สอง เจรจากับสมาคมธุรกิจเมืองก่างให้ดี พร้อมปลดตำแหน่งประธานของจี้ฉงซานได้ตลอดเวลา”

ถึงแม้หลินอิ่งจะไม่ได้คาดหวังว่าฉู่สงซานจะสามารถเอาคู่แข่งอยู่ได้ทั้งหมด

ขอแค่ฉู่สงซานทำสองเรื่องนี้ได้ดี ก็ถือว่าดีมากแล้ว

จะจัดการจี้ฉงซาน ต้องทำให้ดินแดนธุรกิจ รากฐานเงินทุนของเขาสะเทือน

อีกอย่าง แบ่งแยกสมาคมธุรกิจเมืองก่างที่จี้ฉงซานควบคุม กระทบอำนาจของเขา

ขอแค่อำนาจเด็ดขาดของจี้ฉงซานในแวดวงธุรกิจเมืองก่างสะเทือน ตามด้วยแผนการทั้งหมดที่วางไว้ นัดเดียวสะเทือนทั่วร่างแน่

สุดท้าย ตลาดหุ้น สื่อ การเงิน วงการธุรกิจ กระทบทุกด้านทุกจุด สะเทือนเต็มที่ ทำห้าภูเขาที่จี้ฉงซานก่อร่างสร้างตัวในเมืองก่างนับสิบปี ทลายไปอย่างสิ้นเชิง

แน่นอน จี้ฉงซานต้องมีไพ่ในมืออีกแน่นอน หลินอิ่งก็มีแผนสำรอง

“คุณหลิน ไม่มีปัญหา” ฉู่สงซานพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เรื่องที่คุณพูดทั้งสองเรื่อง ผมทำได้แน่นอน”

“คืนนี้ ผมนัดรองประธานสมาคมเมืองก่างไว้แล้ว หยินต้าชิว” ฉู่สงซานพูด “หยินต้าชิว นักธุรกิจชื่อดังในเมืองก่าง ธุรกิจหลักที่ทำคือการขนส่งทางเรือ ยังมีมาเฟียอีกคนหนึ่ง มีเครือข่ายสินค้าหนีภาษีขนาดใหญ่ มีผลกระทบในโลกแห่งความมืดในเมืองก่างไม่น้อย มีตำแหน่งไม่น้อยในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง ช่วงนี้เขาถูกกดดันจากจี้ฉงซาน มีแรงกดดันมาก คนคนนี้เข้ามาหาผมเอง อาจจะดึงเข้าพวกได้”

“ออ?” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “หยินต้าชิว?”

ตอนที่เขามาถึงเมืองก่าง เคยได้ยินชื่อของคนคนนี้ ถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองก่าง นักธุรกิจทั้งที่ทำทั้งถูกและผิดกฎหมาย

“คุณหลิน ถ้าว่าง ไปคุยกับเขาพร้อมพวกเราไหม?” ฉู่สงซานถามความคิดเห็นของหลินอิ่ง

หลินอิ่งดื่มชาไปคำหนึ่ง

ในดินแดนแห่งเมืองก่างนี้ ฉู่สงซานถือว่าเป็นเจ้าถิ่น รู้อะไรมากกว่าเขาแน่นอน

“ได้ ก็ไปคุยกับหยินต้าชิวดู” หลินอิ่งพยักหน้า

……

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

หน้าประตูโรงแรมเชียงเจียง มีขบวนรถRolls-Royceมาถึง ชายวัยกลางคนร่างอวบคนหนึ่ง ใส่ชุดสูทสีเข้ม ลงจากรถสีหน้าเคร่งขรึม จากการปกป้องของบอดี้การ์ดเดินเข้าโรงแรม

“ประธานหยิน มาถึงแล้ว”

“ประธานหยิน ยินดีที่ได้เจอ มีเวลาไปนั่งที่บริษัทผมนะครับ”

“ท่านนี้ ก็คือหัวหน้าแห่งเชียงเจียงในตำนาน หยินต้าชิวใช่ไหม? เป็นนักธุรกิจใหญ่เลยนะ”

หยินต้าชิวเดินเข้าไปในโรงแรม ทุกคนก็พากันสนทนาขึ้นมา เหล่าไฮโซพากันซุบซิบ เข้าไปทักทาย

เพราะว่า หยินต้าชิวท่านนี้ เป็นรองประธานสมาคมเมืองก่าง ยังเป็นหัวหน้าใหญ่ในโลกแห่งความมืดเขตเชียงเจียง ทำธุรกิจทั้งสองฝั่ง อำนาจเงินทองล้นฟ้า

ถ้าหากสามารถเข้าหาคนใหญ่โตขนาดนี้ได้ นั่นก็มีข้อดีอย่างนับไม่ถ้วน

“ลุงหยิน พ่อหนูเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว เชิญตามหนูมาเลยค่ะ” ฉู่ฉู่เดินมา พูดอย่างมารยาท

หยินต้าชิวใบหน้ายิ้มแย้ม พูดว่า “หลานรักฉู่ฉู่ ยิ่งอยู่ยิ่งสวยนะ พ่อหนูได้ลูกสาวที่ดีเลยนะ”

“ลุงหยินชมเกินไปค่ะ” ฉู่ฉู่ยิ้มแย้มอย่างเขินอายจนแก้มแดง

“พาลุงไปหาพ่อหนูเลย” หยินต้าชิวสีหน้าเคร่งขรึม

“พ่อ เดี๋ยว หนูกับน้องมีเรื่องจะคุยกับพ่อหน่อย”

เวลาเดียวกัน หยินปิงและหยินจุนสองพี่น้องเดินมา สีหน้าไม่พอใจ เหมือนกับว่าถูกรังแกอย่างหนัก

หยินต้าชิวขมวดคิ้ว มองหยินจุนทั้งสองคนแล้วถามว่า “เราสองคนมีเรื่องอะไรกัน?”

“พ่อ เมื่อกี้พี่ถูกคนรังแก มีคนยื่นมือลวนลามพี่” หยินจุนพูดอย่างโมโห

หยินต้าชิวสีหน้าโมโห มองดูท่าทางลูกสาวที่ดูหดหู่ แล้วมองไปที่หยินจุนอย่างโมโห

“แกนี่ไร้น้ำยาหรือไง? พี่สาวถูกคนอื่นรังแก แกดูเฉยๆไม่ทำอะไรเลย? ยังมีหน้ามาบอกฉันอีก?” หยินต้าชิวต่อว่า

“พ่อ อย่าต่อว่าน้องเลย คือคนนั้น……” หยินปิงแววตาน่าสงสาร พูดด้วยท่าทางหดหู่

“เป็นอะไร? เขาคือใคร?” หยินต้าชิวหรี่ตา “หรือว่าคนอย่างหยินต้าชิวก็ต้องกลัวเขา?”

“พ่อไม่เชื่อ ว่าในเขตเชียงเจียง มีคนกล้ารังแกลูกสาวพ่ออย่างโจ่งแจ้ง” หยินต้าชิวพูดเสียงเย็นชา “บอกพ่อมา ลูกพ่อ คือใคร?”

“ช่างเถอะพ่อ คนนั้นเป็นแขกพิเศษที่ลุงฉู่เชิญมา พวกเราจะทำให้ลุงหยินลำบากใจไม่ได้” หยินปิงพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร

“แขกพิเศษที่นายฉู่เชิญมา?” หยินต้าชิวสีหน้าเคร่งเครียด “ลูกพ่อ ไม่มีอะไรลำบากใจไม่ลำบากใจ เรื่องนี้พ่อต้องคุยกับลุงฉู่ให้รู้เรื่อง ลากหัวไอ้หน้าโง่นั่นออกมา ให้ลูกได้ระบายอารมณ์แน่นอน”

“พ่อ มันแซ่หลิน เท่าที่ผมรู้ มันชื่อหลินอิ่ง ยังเคยมีความสัมพันธ์กับครอบครัวลุงฉู่ ได้ยินฉู่ฉู่พูดว่า เขามีความสามารถมาก” หยินจุนพูดอย่างโมโห

“แซ่หลิน? หลินอิ่ง?” หยินต้าชิวขมวดคิ้ว “ทำไมพ่อไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในเขตเชียงเจียงเลย? กล้าดีมาจากไหน?”

“ไอ้ขยะที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ จะไปมีความสามารถอะไร?” ทำเสียงเย็นชา

ล้อเล่นอะไร คนเลวทรามที่ลวนลามผู้หญิงไปเรื่อย จะไปมีความสามารถอะไร?

ถึงจะเป็นแขกพิเศษที่ฉู่สงซานเชิญมา ฉู่สงซานก็ต้องไว้หน้าเขาหยินต้าชิว

หยินต้าชิวมองฉู่ฉู่ ถามเสียงเรียบ “ฉู่ฉู่ หลินอิ่งที่พวกเขาพูด เป็นคนอะไร? เรียกมันออกมาเจอลุง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท