ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 428 คุณก็คือไอ้หน้าโง่ของหลินซื่อกรุ๊ป?

บทที่ 428 คุณก็คือไอ้หน้าโง่ของหลินซื่อกรุ๊ป?

เมืองก่าง เขตไห่วัน

บนถนนอันเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง รอบด้านเต็มไปด้วยตึกอาคารสูงตระหง่าน

ในนั้น มีอาคารทรงครึ่งวงกลมเหลืองทอง รูปแบบพิเศษเฉพาะ สีเหลืองอร่าม

ก็คืออาคารสำนักงานใหญ่ของสมาคมธุรกิจเมืองก่าง เรียกว่าศูนย์กลางการค้าแห่งเมืองก่าง

ที่นี่ ก็คือถนนสายการเงินแห่งเมืองก่าง เป็นศูนย์รวมสำนักงานใหญ่ของบริษัทมากมาย

รถBentleyสีดำคันหนึ่งจอดหน้าอาคาร จากนั้น บอดี้การ์ดต่างชาติสีหน้าเรียบเฉยคนหนึ่งลงมาเปิดประตู ชายเสื้อขาวคนหนึ่งเดินลงมา เดินเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่าง

คนที่มา ก็คือหลินอิ่ง มาพร้อมบอดี้การ์ดฮาเดส

เมื่อคืนหลังสั่งฉู่สงซานแล้ว วันนี้ ภายในสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่างก็จัดการประชุมภายในขึ้น

เป้าหมายที่หลินอิ่งมาที่นี่ ก็คือควบคุมสมาคมธุรกิจเมืองก่าง

จี้ฉงซานตกใจจนไม่กล้าออกมาให้เห็นหน้าที่เมืองก่างแล้ว

ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องกระทืบซ้ำให้หนัก ถอนเขี้ยวจี้ฉงซานให้หมด

“คุณ คุณเป็นใคร? ที่นี่คือสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่าง ถ้าไม่ได้นักล่วงหน้า คุณไม่มีสิทธิ์เข้า”

“ที่นี่ ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าเด็ดขาด”

หลินอิ่งเพิ่งเดินเข้าไปในอาคาร ก็มีชายหนุ่มชุดสูทคนหนึ่งเข้ามาหา ขวางเขาไว้ด้วยสีหน้าเอือมระอา

“ให้หยินต้าชิวลงมาเจอผม” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“หยินต้าชิว? รองหัวหน้าสมาคมหยิน?” ชายหนุ่มสีหน้าลังเลไปครู่หนึ่ง “คุณยังรู้จักรองหัวหน้าสมาคมหยินของสมาคมเราเหรอ?”

พูดไป ชายหนุ่มจ้องสังเกตหลินอิ่งด้วยสีหน้าสงสัย

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่งอายุน้อยมาก ดูไม่ออกแม้แต่น้อย ว่ามีสิทธิ์อะไรไปรู้จักกับผู้ใหญ่คนโตอย่างรองหัวหน้าสมาคมหยินได้

อีกอย่าง หลินอิ่งดูแล้วก็ไม่เหมือนคุณชายอะไรในเมืองก่าง เพราะว่าร่างตัวไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องประดับมีค่าอะไรเลย

“คุณออกไปก่อน ออกไปรอข้างนอก” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยโส “ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายต้อนรับของอาคารสมาคม หลิวโกว แผนกต้อนรับของพวกเรา ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าใดๆทั้งสิ้น”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย จ้องหน้าหลิวโกว

รู้สึกแปลกใจ หยินต้าชิวรู้ว่าเขาจะมาสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่าง เขากลับไม่อยู่?

“พาผมไปที่ประชุม” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“พาคุณไปที่ประชุม? คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้จักดูสภาพตัวเอง มีสิทธิ์ไปประชุมด้วยเหรอ?” หลิวโกวสีหน้าดูถูก พูดอย่างเอือมระอา “คุณ ออกไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ใช่คนอย่างคุณจะมาได้”

เพี๊ยะ

เพิ่งพูดจบ ฮาเดสก็เข้าไปตบหน้าหลิวโกว

“แก แกกล้าลงไม้ลงมือ แกนี่มันรนหาที่ตาย? แกรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?” หลิวโกวล้มอยู่ที่พื้น สีหน้าไม่พอใจ ชี้หน้าด่าหลินอิ่ง

“แกรออยู่ที่นี่เลย รอฉันไปเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมา วันนี้ซ้อมแกจนคุกเข่าแน่” หลิวโกวตะโกนด่าอย่างบ้าคลั่ง “ไม่รู้จักเบิกตาดูว่าที่นี่มันที่ไหน ที่นี่มันสำนักงานใหญ่สมาคมเมืองก่าง แกรู้ไหมว่าคนที่มาประชุมที่นี่ทุกวันนั้นเป็นคนใหญ่โตระดับไหน?”

หลิวโกวตะโกนด่าไม่หยุด ท่าทางสีหน้าไม่พอใจ

เขาเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับ คนที่มาประชุมเจรจาธุรกิจทุกวันนั้น มีใครที่ไม่ใช่นักธุรกิจใหญ่ติดอันดับในเมืองก่างบ้าง? แต่กลับถูกเด็กหนุ่มแบบนี้ทำร้ายร่างกาย?

“รอเดี๋ยว แกจะรู้เอง……”

หลิวโกวหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ กำลังจะโทรศัพท์เรียกคน เขาจ้องหน้าหลินอิ่งสีหน้าเย็นชา ยังอยากด่าอะไรต่อ แต่สีหน้าก็เปลี่ยนทันที มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหวาดกลัว

เพราะว่า มีชายหนุ่มเสื้อสูทสีดำเป็นกลุ่มเดินเข้ามาจากทางเข้า ทุกคนใส่แว่นดำ สีหน้าเย็นชา

เพียงแค่ชั่วครู่ หน้าประตูอาคารสมาคมเมืองก่าง ก็จอดรถBentleyสีดำกว่าสามสิบคัน รถขับเข้ามาจอดเรื่อยๆ บอดี้การ์ดชุดสูทเดินเข้ามายืนข้างหลังหลินอิ่ง

ท่าทางนี้ ทำให้หลิวโกวตกใจสุดขีด เข่าอ่อนจนล้มไปกับพื้น จนเกือบฉี่ราดกางเกง

“ขอ ขอโทษด้วย ท่าน…..” หลิวโกวขอโทษหลินอิ่งด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงที่พูดก็สั่นเครือ “ท่านจะหารองหัวหน้าสมาคมหยินใช่ไหม? รองหัวหน้าสมาคมหยินอยู่ชั้นสาม กำลังประชุม…..”

“ประธานหลิน เงินเตรียมเรียบร้อยแล้ว คนก็มาพร้อมแล้ว”

คริสเดินเข้ามา รายงานอย่างเคารพข้างกายหลินอิ่ง

หลินอิ่งพยักหน้า “ไปเถอะ เข้าไป”

พูดจบ หลินอิ่งมือไขว้หลัง เดินขึ้นไปบนบันไดครึ่งวงกลมของอาคาร

ส่วนข้างหลังเขา มีคริส ฮาเดส หรงหยัง คนโหดทั้งสาม

ทีมบอดี้การ์ดก็เดินตามหลังไป

และมีบอดี้การ์ดหลายสิบคนเริ่มปฏิบัติการ ล็อกประตูทางเข้าของสมาคม ห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามา

เวลาเดียวกัน

สำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจ ห้องประชุมชั้นสาม

โต๊ะประชุมทรงกลม มีชายวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดานั่งเต็ม

ทุกคนต่างใส่ชุดสูทราคาแพง สวมใส่นาฬิการาคาสิบล้าน ทุกอย่างบนตัวล้วนไม่ธรรมดา

“รองหัวหน้าสมาคมหยิน? ท่านจะประชุมกะทันหันหมายความว่ายังไง? ยังบอกว่าอะไร ท่านจะปลดตำแหน่งหัวหน้าสมาคมจี้?” ชายวัยกลางคนร่างอวบคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา

“รองหัวหน้าสมาคมหยิน? นี่คุณกำลังพูดตลกใช่ไหม? หลายวันก่อนหัวหน้าสมาคมจี้ก็ประกาศแล้ว ว่าจะปลดตำแหน่งท่านในสมาคม” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหัวเราะมองหน้าหยินต้าชิว “ตอนนี้คุณพูดกับพวกเราว่า ให้พวกเราสนับสนุนคุณไปล้มหัวหน้าสมาคมจี้? คุณมีสิทธิ์อะไร?”

“ผมบอกคุณได้นะ รองหัวหน้าสมาคมหยิน วันนี้ถ้าคุณไม่ให้คำอธิบายกับพวกเรา วันนี้คุณอย่าคิดที่จะออกจากห้องประชุม ผมสั่งคนมารอข้างนอกแล้ว คุณไม่อธิบายให้ชัดเจน ผมจับตัวคุณแน่ แล้วส่งไปให้หัวหน้าจี้” ชายชุดสูทคนหนึ่งพูดอย่างเย็นชา

หยินต้าชิวยืนข้างโต๊ะประชุม สีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อท่วมหน้าผาก รู้สึกกดดันในใจเป็นอย่างมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉู่สงซานใช้ปืนจ่อหัวเขา เขาจะเอาความกล้ามาจากไหน? แจ้งประชุมเรื่องปลดตำแหน่งจี้ฉงซานออกจากหัวหน้าสมาคม?

ตอนนี้ ฉู่สงซานกับหลินอิ่งยังไม่มา ลำพังเขาคนเดียวในนี้ ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่แม้แต่น้อย

สมาชิกในสมาคม ต่างก็แสดงท่าทางเหมือนจะกลืนกินเขา

“ทุกท่าน ใจเย็นๆก่อน” หยินต้าชิวพูดเสียงเคร่งขรึม “เรื่องที่ผมยื่นเสนอไป ต้องมีความมั่นใจแน่นอน เดี๋ยวเจ้านายผมก็มาถึง เขาต้องให้ผลตอบแทนกับทุกท่านในนี้อย่างพอใจแน่นอน”

“เหอะเหอะ เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังคุณ? รองหัวหน้าสมาคมหยิน คุณกำลังล้อเล่นอะไร? คุณอยากให้พวกเราหักหลังหัวหน้าจี้? เป็นอริกับหัวหน้าจี้?” ชายสูงอายุใส่แว่นคนหนึ่งพูดด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา

“คุณจะให้เงินพวกเราเท่าไหร่ พวกเราก็ไม่สนับสนุนข้อเสนอนี้ ไม่รู้จักคิดดู ในเมืองก่าง มีใครกล้าไปต่อต้านนายท่านจี้?”

ทุกคนในห้องประชุมต่างพากันพูดอย่างไม่พอใจ รู้สึกว่าหยินต้าชิวกำลังพูดตลก

“ใช่เหรอ? ไม่มีใครต่อต้านจี้ฉงซาน?”

เวลาเดียวกัน ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก

จากนอกประตู เป็นเสียงอันเยือกเย็น ทำให้ทุกคนในห้องประชุมต่างรับรู้ถึงความเย็นชานั้นได้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท