ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 448 ผมมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณ

บทที่ 448 ผมมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณ

สำหรับท่านมังกรดำที่แอบจับตาเขาอยู่ในที่ลับนั้น

หลินอิ่งมีวิธีจัดการเอง

คนคนนี้ ไม่จำเป็นต้องไปตามสืบ สักวันก็ต้องทนไม่ไหว หางจิ้งจอกก็จะแสดงออกเอง

“ท่านประมุข ถึงแม้ผมจะสืบได้แล้วว่าผู้ควบคุมองครักษ์มังกรดำคือใคร แต่ว่า ไม่สามารถรู้ตำแหน่งองครักษ์มังกรดำในเมืองก่างได้” เย่เฮยพูดอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “จากนี้ไป ไม่ต้องไปสืบเรื่ององครักษ์มังกรดำแล้ว”

เย่เฮยซ่อนตัวในเมืองก่างนานหลายปี ข่าวกรองที่ได้มีจำกัด ในมือก็มีเพียงพี่น้ององครักษ์มังกรดำที่ถูกแยกย้ายกันอยู่เพียงไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ ยากที่จะรวมตัวกันเพื่อต่อต้าน องครักษ์มังกรดำชุดใหม่ที่อยู่ทั่วเมืองก่าง

ถ้าให้เย่เฮยสืบต่อไป ก็จะเสียเรี่ยวแรงเปล่าๆ

“ถ้าเช่นนั้น ท่านประมุข มีการเตรียมการอะไรหรือไม่?” เย่เฮยถามอย่างจริงจัง

“ต่อไป นายไปจับตาดูกลุ่มสาขาย่ิอยเมืองก่างของแก๊งหยางเหมิน จับตาดูจ้าวเฉิงเฉียนกับหรงหยังมองคนนี้ไว้” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“หรงหยัง? จ้าวเฉิงเฉียน?” เย่เฮยแววตาประกาย พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านประมุข ผมจะจับตาดูสองคนนี้ไว้อย่างดี จะไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเลย”

เย่เฮยเข้าใจความหมายของหลินอิ่ง ก่อนหน้านี้ก็เคยทำความรู้จักสองคนนี้แล้ว

ท่านมังกรดำผู้ลึกลับ เขาอาจจะหาไม่เจอ

แต่ถ้าให้จับตาดูจ้าวเฉิงเฉียนกับหรงหยัง เขามีความมั่นใจ

หลินอิ่งลูบคลำมือตัวเอง แววตาก็เริ่มคมขึ้น

เมืองแห่งตลาดหลักทรัพย์ระหว่างประเทศอย่างเมืองก่าง สถานการณ์วุ่นวายมาก อำนาจแต่ละด้านผสมผสานวุ่นวาย เหมือนดั่งการรวมตัวของฝูงปีศาจ

หรงหยังแสดงตัวยอมแพ้ต่อเขา ก่อนจัดการจี้ฉงซาน เขายอมทำตามทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้

แต่ว่า คนคนนี้ไม่ใช่ลูกน้องที่เชื่อถือได้ของเขา ยังคงเป็นคนของแก๊งหยางเหมิน เขาสูญเสียอำนาจในแก๊งหยางเหมินแล้ว ถูกจ้าวเฉิงเฉียนกีดกัน ถึงเปลี่ยนมาพึ่งพาเขา

ส่วนจ้าวเฉิงเฉียน นายน้อยแก๊งหยางเหมินคนนี้ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว

สองคนนี้ ไม่ใช่คนอยู่เฉยๆแน่

ความสามารถในวิชาการต่อสู้ของเย่เฮย ในแก๊งหยางเหมินอยู่เหนือเผยหวูหมิง เพียงพอสำหรับควบคุมแก๊งหยางเหมินเมืองก่างได้

เพราะฉะนั้น ให้เย่เฮยจับตาดูเขาสองคนไว้เหมาะสมที่สุดแล้ว ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

ก๊อกก๊อก

เวลานี้ มีคนเคาะประตูออฟฟิศ

หลินอิ่งตากะพริบ พูดว่า “ออกไปก่อน”

“ครับ”

เย่เฮยพยักหน้าอย่างเคารพ ร่างกายเหมือนมีเงาดำเคลื่อนไหวผ่าน หายไปจากออฟฟิศในชั่วพริบตา

“เข้ามา”​

หลินอิ่งหมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ เติมน้ำชา ดื่มไปคำหนึ่ง

ไม่นาน หญิงผมทองเดินเข้ามาจากข้างนอก ข้างกายมีบอดี้การ์ดหญิงคนหนึ่งสีหน้าโหดเหี้ยมติดตามอยู่

“แอนนา?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นคุณหนูแห่งตระกูลโครเมียร์ท่านนี้

วันนี้แอนนาใส่ชุดกระโปรงลูกไม้เข้ารูป มัดผมหางม้า แปร่งประกายแฟชั่นที่อ่อนเยาว์และสวยงาม บวกกับใบหน้าที่สวยงาม เหมือนดั่งหญิงสาวที่เดินออกมาจากเทพนิยาย ดูแล้วสวยงามน่าทึ่ง

“คุณหลิน สวัสดีตอนเที่ยง” แอนนาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางมีมารยาท

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “คุณแอนนา มาหาผมมีเรื่องอะไร?”

ครั้งที่แล้วเขาเคยเตือนแอนนาแล้ว ไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้มาหาถึงที่ต้องการอะไร

ใช้เหตุผล รู้ถึงความแตกต่างของความสามารถแล้ว เธอก็ยังโง่ถึงขั้นที่จะต่อต้านเขาต่อในเมืองก่าง

แอนนายิ้ม เดินไปหน้าโต๊ะทำงาน กะพริบตาของเธอ ดวงตาอันสวยงามมีเสน่ห์ ยิ้มให้หลินอิ่งอย่างเย้ายวน

“คุณทายซิ?”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้เปิดปากพูด

“หญิงสาวคนหนึ่ง มาหาชายหนุ่มคนหนึ่ง คุณคิดว่าจะเป็นเรื่องอะไร?”

แอนนามองหลินอิ่งแววตาหยอกล้อ พูดจาหยอกเขา

“แน่นอนว่ามาจีบกับคุณไง”

“ขอโทษ ผมเป็นคนมีครอบครัวแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ฮา คุณหลิน คุณนี่ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ” แอนนาหัวเราะ “แต่ฉันก็คิดไม่ถึง คุณหลินอายุน้อยขนาดนี้ก็มีครอบครัวแล้ว ช่างน่าตะลึงจริงๆ”

“ผู้ชายประเทศหลุงของพวกคุณเจ้าชู้ชอบเที่ยวไม่ใช่เหรอ? จากอายุของคุณแล้ว มีอำนาจเงินทอง ทำไมถึงมีครอบครัวเร็วขนาดนี้?” มุมปากแอนนายิ้มขึ้น พูดอย่างใจเย็น พูดซุบซิบขึ้นมา “ภรรยาของคุณหลิน คงต้องสวยมากแน่นอน?”

“ผมไม่มีเวลามาคุยเล่นกับคุณ” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “พูดเรื่องสำคัญ”

ต้องบอกว่า สาวผมทองสายงามอย่างแอนนา เป็นสาวงามคนหนึ่ง มีแรงดึงดูดต่อผู้ชาย

แต่ว่า หลินอิ่งรู้ดี ผู้หญิงต่างชาติพูดจาก็ประมาณนี้

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเกิดความสับสนเพราะหน้าตาหรือคำพูดของผู้หญิง

ต้องรู้ว่าแอนนาเกิดในตระกูลโครเมียร์ ปู่ของเขาเป็นท่านเอิร์ลที่ควบคุมคณะกรรมการเถ่เสว่ในโลกมืดแห่งตะวันตก

แอนนาดูเหมือนหญิงสาวที่ร่างเริงไร้เดียงสา

“คุณหลิน คุณก็ยังคงจริงจังอย่างเหลือเชื่อ” แอนนามองหลินอิ่งตาเป็นประกาย “ฉันมา เพื่อจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับคุณ”

แอนนารู้สึกตกใจสำหรับความเฉยชาที่หลินอิ่งแสดงออกมา

เธอมีความมั่นใจมากสำหรับความสวยของตัวเอง

แต่ว่า เธอมองไม่เห็นความหวั่นไหวแม้แต่น้อยในสายตาหลินอิ่ง แม้แต่มองเธอเยอะนิดหนึ่งก็ไม่มี

และนี่ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เวลาเดียวกัน ก็เพิ่มความสนใจในตัวหลินอิ่งมากขึ้น

“มีอะไรก็พูดตามตรง” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

แอนนายิ้มอย่างลึกลับ พูดว่า “คุณหลิน ฉันมีข่าวสำคัญจะบอกคุณ คุณถูกคณะกรรมการเถ่เสว่ของตระกูลพอร์ตเล็ตโลกมืดเวสต์แลนส์จับตาอยู่แล้ว”

“คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ออกคำสั่งปฏิบัติการล่าหัวคุณแล้ว”

“ส่วนฉัน รู้ว่าพวกคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็กเมืองก่างกลุ่มนี้ ซ่อนตัวที่ไหน คุณอยากรู้ไหม?”

พูดไป มุมปากแอนนาก็ยิ้มขึ้น มองหลินอิ่งด้วยสีหน้คิดสนุก

“คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว

ที่โลกมืดเวสต์แลนส์ มันเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง บริษัทระดับประเทศ ชื่อเสียงคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ผู้คนต่างรู้จัก

องค์กรนี้ประวัติยาวนาน เหตุการณ์ใหญ่โตในประวัติศาสตร์โลก ล้วนมีบทบาทที่สำคัญ ลึกลับและแข็งแกร่งมาก

“คุณกำลังสืบเรื่องผม?” หลินอิ่งมองแอนนาด้วยสายตาเย็นชา “คุณรู้อะไรบ้าง?”

แอนนาพูด “คุณหลิน นี่คุณกำลังถามฉันเหรอ? แต่ว่า ทัศนคติคุณไม่ค่อยดีนะ”

“เหอะ” หลินอิ่งส่ายหน้า ยิ้มอย่างเย็นชา “ฮาเดส ส่งแขก”

“เดี๋ยวก่อน”

ตอนที่ฮาเดสเดินเข้ามาจากข้างนอก แอนนารีบพูดห้ามไว้

“คุณหลิน ฉันขอพูดตามตรงกับคุณละกัน” แอนนาพูด “ฉันรู้ประวัติความเป็นมาของคุณแล้ว ฉันก็รู้แล้วด้วยว่าเป้าหมายที่คุณมาเมืองก่างคืออะไร”

“คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ถูกมหาเศรษฐีเมืองก่างจี้ฉงซานเชิญมา ตั้งใจจะจัดการคุณในครั้งเดียว” แอนนาพูดจริงจัง

“เครือข่ายข่าวกรองในเมืองก่างของตระกูลโครเมียร์ เก่งมากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ การปฏิบัติการของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ล้วนอยู่ในการจับตาของฉัน”

“ฉันมาวันนี้ เพื่ออยากจะร่วมมือกบคุณ”

แอนนาพูดจบในครั้งเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เป้าหมายที่เธอมาครั้งนี้ ก็เพื่ออยากคุยกับหลินอิ่งให้สำเร็จ

แต่ว่า อยากใช้วิธีการพูดในแบบของตัวเอง

ปรากฏว่า หลินอิ่งไม่ยอมรับมือ ไม่สนใจเธอ

ขืนยังไม่พูดให้ชัดเจน เกรงว่าจะถูกเชิญออกไปแล้ว

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

“คุณอยากร่วมงานยังไงกับผม? แล้วคุณมีสิทธิ์อะไร?”

“เพียงแค่ข่าวเรื่องเดียวที่มีหรือไม่มีก็ได้?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท