ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 464 ลงเกาะไห่เทียน

บทที่ 464 ลงเกาะไห่เทียน

“ขอแค่คุณไม่ทำลายผลประโยชน์ของนายท่าน นายท่านรับรองกับคุณแล้ว ลูกหลานของตระกูลจี้ยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ อนาคตถ้านายท่านทำการสำเร็จแล้ว จะให้ตระกูลจี้กลับสู่เมืองก่างอีก”

“นายท่าน ต้องดีกับคนที่จงรักภักดีกับท่านแน่นอน ถ้าท่านไม่ยอมออกจากเมืองก่าง ถ้าอย่างนั้นคุณก็วางใจได้ นายท่านจะช่วยคุณแก้แค้นเอง จะฆ่าหลินอิ่งด้วยมือตัวเอง”

พูดถึงตรงนี้ เหวินเทียนเฟิ่งวางสาย

วางสายแล้ว สีหน้าจี้ฉงซานไม่ดีจนถึงสุดขีด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ในโทรศัพท์ เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างชัดเจนแล้ว

ท่านมังกรดำ ตัดเขาทิ้งไปแล้ว

ตอนนี้เขาทำอะไร ก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ไม่มีสิทธิ์อะไรไปสู้กับหลินอิ่งแล้ว ไม่มีสิทธิ์อะไรไปคุยข้อเสนออะไรกับท่านมังกรดำแล้ว

ที่โชคดีก็คือ คนของตระกูลจี้ หนีไปต่างประเทศหมดแล้ว

ท่านมังกรดำสื่อมาแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือห้ามหักหลังเขา

ไม่อย่างนั้น ไม่ต้องรอหลินอิ่งลงมือ ท่านมังกรดำ ต้องตามฆ่าปิดปาก ฆ่าล้างตระกูลจี้ยกครัว ไม่เหลือสายเลือดไว้แม้แต่คนเดียว

“ตอนแรกคิดว่าแค่ทำเรื่องเล็กๆ ฆ่าไอ้เด็กหลินอิ่ง ปรากฏว่า กลับก่อให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต” จี้ฉงซานบ่นพึมพำ เสียใจจนไส้พันกันหมดแล้ว

ผลลัพธ์ทุกอย่างในวันนี้ ล้วนเกิดจากเหตุที่ตัวเองทำไว้

ผลที่ดูถูกหลินอิ่งต้องชดใช้อย่างสาหัสขนาดนี้

“ฉันมันเดินผิดหนึ่งก้าวต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงๆ ประมาทแค่ครั้งเดียว ก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง”

จี้ฉงซานเงยหน้ามองฟ้า คำน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจและโกรธแค้น

“เคกเคกเคกเคก”

หลังจากระบายอารมณ์อย่างโมโหแล้ว จี้ฉงซานก็ไออย่างรุนแรง จนไอเป็นเลือด

“เอา เอายาของฉันมา” จี้ฉงซานเหงื่อท่วมหัว พูดอย่างเคร่งเครียด

จี้ฝูหยิบยาโรคหัวใจออกมาขวดหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อ หยิบยาออกมาแล้วยื่นน้ำไปให้แก้วหนึ่ง

จี้ฉงซานหยิบกินยาโรคหัวใจไปหลายเม็ด สีหน้าที่ซีดขาว ถึงดีขึ้นมาบ้าง

เขาในเวลานี้ ความสง่าในอดีตได้สูญเสียไปหมดแล้ว ดูเหมือนแก่ไปสิบกว่าปีในพริบตา เหมือนดั่งตะเกียงไร้น้ำมัน

ใช่แล้ว ต้องมองดูอาณาจักรธุรกิจที่ตัวเองสร้างขึ้นมา พังทลายไปต่อหน้าตัวเอง

มองในแง่มุมหนึ่ง เท่ากับว่าเขาได้ตายไปแล้ว

ไร้เรี่ยวแรงหมดลมหายใจไปแล้ว

กับคนตายแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกัน

ที่พอปลอบใจได้บ้างก็คือ ลูกชายหลายคนของเขา ยังใช้ชีวิตอย่างดีที่ต่างประเทศ

“คุณท่านจี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว รีบจัดเที่ยวบินส่วนตัว ออกจากเมืองก่างตอนนี้เถอะ มิเช่นนั้นก็สายเกินไป” จี้ฝูพูดอย่างข้างกาย

จี้ฉงซานหลับตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจพูด “ช่างเถอะ ช่างเถอะ เตรียมเครื่องบินส่วนตัว ฉันยอมแพ้แล้ว”

ในใจต่อต้านอยู่นาน สุดท้าย จี้ฉงซานก็ยอม

เพราะว่า เขาเองก็กลัวตายเหมือนกัน

“คุณท่านจี้ แย่แล้ว มีกลุ่มคนไม่ทราบตัวตนหย่อนตัวลงมากลางอากาศ”

“หน่วยรักษาการรอบนอกของตระกูลจี้ ถูกจัดการหมดแล้ว”

เวลาเดียวกัน ยอดฝีมือในชุดปฏิบัติการสีดำหลายคน รีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน

“อะไร บุกเข้ามาฆ่าถึงเกาะไห่เทียนแล้ว?”

จี้ฉงซานตกใจจนเป็นลมไปตรงนั้น แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

คราวนี้ แม้แต่หนทางสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว

หลินอิ่ง หามาถึงถิ่นลับของเขาแล้ว

“เอาปากกามา ฉันจะเขียนหนังสือลาตาย ฉันต้องเตือนลูกหลานตระกูลจี้ ต้องช่วยฉันแก้แค้นให้ได้ ลูกหลานของฉันต้องฆ่าหลินอิ่งให้ได้ไม่ว่าต้องชดใช้ด้วยอะไร”

จี้ฉงซานตะโกนพูดอย่างเย็นชา เต็มไปด้วยความโกรธและโหดเหี้ยมที่มีต่อหลินอิ่ง

ฮวั๊ก

จี้ฉงซานถือปากกามือสั่น เขียนหนังสืออย่างรวดเร็ว เพื่อเตือนลูกชายที่อยู่ต่างประเทศ ต้องรับคำสั่งเสียของเขา ฆ่าหลินอิ่ง

เขียนหนังสือสั่งเสียเสร็จแล้ว ถูกส่งออกไปด้วยโทรศัพท์เบอร์ลับ จี้ฉงซานเหมือนใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายจนหมด ล้มนั่งลงไปที่เก้าอี้ เหมือนดั่งสุนัขที่ตายแล้ว

สามนาทีผ่านไป

หรงหยังพาทีมชายหนุ่มหน้าโหดเดินนำอยู่ข้างหน้า เดินเข้าไปในศูนย์ฝึกลับ

ภายในศูนย์ฝึกลับนี้ องครักษ์ตระกูลจี้ที่ผ่านการฝึกฝนสิบกว่าคน นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้นเหมือนหมา

หลินอิ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย สีหน้าเรียบเฉย ยืนมือไขว้หลังอยู่ตรงกลาง เดินเข้ามาช้าๆ

สถานการณ์ในเกาะไห่เทียน อยู่ในการควบคุมของหลินอิ่งทั้งหมด

จี้ฉงซานครั้งนี้ ติดปีกก็บินยากแล้ว

“แก แกก็คือหลินอิ่ง?”

จี้ฉงซานแววตาหดหู่ มองดูหลินอิ่งท่าทางสง่ายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

“คิดไม่ถึงจริงๆ พวกเราเจอกันครั้งแรก จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” จี้ฉงซานส่ายหัว พูดจาเสียดสีตัว

ผู้มีอำนาจอย่างเขา ผู้คนยกย่องในเมืองก่าง ยืนหยัดอยู่จุดสูงสุดนับสิบปี

สุดท้าย กลับพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายที่อายุน้อยอย่างเหลือเชื่อ

“ไม่ว่าใครที่ไปมาหาสู่กับตระกูลเหวิน ผมไม่ปล่อยไว้แน่” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“จี้ฉงซาน ตอนที่อยู่ตี้จิง ไปจับตัวลูกน้องผม ส่งโลงศพไปถึงหน้าประตู นั่นก็แน่ใจแล้วว่า คุณต้องมีจุดจบอย่างวันนี้”

จี้ฉงซานปากกระตุก ตอนนั้นอยู่ในตี้จิงเขาสง่าผ่าเผยแค่ไหน ดูถูกหลินอิ่งขนาดไหน

จับตัวหยูจื๋อเฉิงไป ยังส่งโลงศพไปถึงหน้าประตูหลินอิ่ง ประกาศว่าให้หลินอิ่ง

ปรากฏว่ามาถึงวันนี้ ทุกอย่างมันช่างน่าเสียดสีจริงๆ

“จี้ฉงซาน บอกร่องรอยของเหวินเทียนเฟิ่งมา ผมจะให้คุณตายอย่างสมศักดิ์ศรีหน่อย ไม่ติดใจเอาเรื่องกับลูกหลานตระกูลจี้” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“เหอะเหอะเหอะ ฉันไม่มีวันความลับของตระกูลเหวินให้แกรู้เด็ดขาด” จี้ฉงซานหัวเราะหดหู่ ส่ายหน้า

“แพ้ก็คือแพ้ ฉันไม่คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่ว่า แกอย่าคิดว่าแกชนะแล้ว”

“แกเอาชนะฉันได้ ไม่ได้หมายความว่าจะชนะเหวินเทียนเฟิ่ง ชนะท่านมังกรดำได้”

“ลูกชายทั้งหลายของฉัน ต้องมีสักวัน ที่จะได้เห็นแกตาย”

สายตาจี้ฉงซานเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม พูดอย่างไม่พอใจ

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรอีก

สุนัขรับใช้อย่างจี้ฉงซาน ยังคงดื้อรั้นไม่เปลี่ยน

ไอ้แก่คนนี้ ทำเรื่องเลวทรามมากมายขนาดนี้ ในเมืองก่างไม่รู้มีผู้คนมากมายขนาดไหนถูกเขาทำร้าย กลายเป็นผีไร้วิญญาณ

“หยูจื๋อเฉิง ไปเก็บศพไอ้แก่คนนี้ที” หลินอิ่งออกคำสั่งเรียบเฉย

จี้ฉงซาน จับตัวหยูจื๋อเฉิงไปก่อนหน้านี้ ทรมานและเหยียดหยามสารพัด

หลินอิ่งก็ต้องเก็บไอ้แก่คนนี้ไว้ให้หยูจื๋อเฉิง เป็นคนจัดการ

เพี๊ยะ

หยูจื๋อเฉิงเดินเข้าไป ตบหน้าจี้ฉงซาน ตบจนเขาดวงตาไร้แวว ล้มตัวนอนไปบนที่นั่ง

“แกมันก็แค่สุนัขลอบกัดที่ซ่อนตัวอยู่แต่ในที่ลับ ทำแต่เรื่องเลวทราม ยังคิดอยากฆ่าท่านอิ่ง? แกมีจุดจบอย่างวันนี้ ตายยังไม่สมกับความชั่วที่แกทำแม้แต่น้อย” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเย็นชา

“เหอะเหอะเหอะ……”

จี้ฉงซานเริ่มไม่ค่อยมีสติ หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เริ่มมีเลือดไหลออกจากมุมปาก ดูเหมือนกินยาพิษเข้าไปก่อนแล้ว พิษออกฤทธิ์ใกล้ตายแล้ว

โคร่ง

จี้ฉงซานร่างแข็งทันที ล้มลงไปกับพื้น สภาพทรหด

ยาพิษออกฤทธิ์ตายแล้ว กินยาพิษฆ่าตัวตาย

ผู้มีอำนาจคนหนึ่ง มีจุดจบแบบนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท