ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 445 ยากที่จะเอาตัวรอด

บทที่ 445 ยากที่จะเอาตัวรอด

วันที่สอง

เมืองก่างพายุโหมกระหน่ำ ข่าวและสื่อต่างๆกระหน่ำกันประกาศข่าว

เรื่องราวอื้อฉาวเกี่ยวกับจี้ฉงซานล้วนถูกพาดหัวข่าวรายงานกันอย่างกระหน่ำ

นอกจากสารคดีที่หลินอิ่งทำก่อนหน้านี้ ในอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็มีหัวข้อข่าวออกมาเป็นเรื่องสนทนากันอีกมากมาย

ล้วนพูดคุยเรื่องราวการสร้างเนื้อสร้างตัวของจี้ฉงซานบนเลือดเนื้อคนอื่น และเรื่องที่เขาทำร้ายคนงานและนักข่าวที่เป็นปัญหาหนัก

หลังจากสื่อถูกกดดันก็มีการปล่อยข่าวออกมาอีกครั้ง พุ่งกระจุยเหมือนดั่งน้ำพุ ที่กดยังไงก็ไม่อยู่

เวลาเดียวกัน เกาะไห่เทียน ใกล้ทะเลเมืองก่าง

ภายในคฤหาสน์หรูเขตจงเทียน

จี้ฉงซานสีหน้าเคร่งเครียดนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้จันทน์ ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี

บนโต๊ะไม้จันทน์ เป็นหนังสือพิมพ์ของแต่ละสำนักข่าวล่าสุด ล้วนเป็นหัวข้อข่าวรูปภาพที่เขาเคยออกสื่อกล่าวสุนทรพจน์

คำพูดที่ใช้นั้น เป็นการต่อต้านอย่างรุนแรง

“พ่อ ทำไมข่าวถึงประกาศกันรุนแรงขึ้นอีกแล้ว? ทางด้านนายกเทศมนตรีถังเกิดอะไรขึ้น?”

จี้ชวนกับพ่อบ้านตระกูลจี้ ยืนอยู่ข้างโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“คุณท่านจี้ วันนี้ไม่รู้เพราะอะไร สำนักข่าวที่เคยเงียบต่างก็พากันลงข่าว อย่างไร้วี่แวว จนควบคุมทุกสื่อทุกช่องทาง สถานการณ์ตอนนี้ ยิ่งอยู่ยิ่งรุนแรง” พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ทางด้านนายกเทศมนตรีถังบอกว่าปิดข่าวทุกช่องทางแล้วไม่ใช่เหรอ? ไปถามหน่อยว่าทำไมพวกเขาถึงได้ลงข่าวแบบนี้ของคุณท่านจี้?”

จี้ฉงซานขมวดคิ้ว พูดว่า “ทางด้านนายกเทศมนตรีถัง ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

แน่นอน เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่นายกเทศมนตรีถังยังควบคุมสำนักข่าวไม่ได้

ระหว่างนี้ ไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง

“พ่อ ตอนนี้สถานการณ์ยิ่งไม่ดีแล้ว พ่อต้องคิดหาวิธีแล้ว ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป บริษัทของเราคงต้องถูกประชาชนด่าจนน้ำลายท่วมแน่” จี้ชวนพูดอย่างจริงจัง “พวกพี่ชายที่บ้าน แล้วก็แม่ ต่างก็รอพ่อยืนออกมา”

จี้ฉงซานหยิบมือถือขึ้นมาสีหน้าเคร่งเครียด กดเบอร์แล้วโทรออกเอง

วันก่อน เขาเพิ่งได้เจอหน้ากับถังคังเจิ้นด้วยตัวเอง คุยทุกอย่างกันเรียบร้อยแล้ว

ถังคังเจิ้นตอบตกลงแล้ว ให้กองพิเศษหวู่อันและกรมพาณิชย์ไปตรวจสอบหลินอิ่ง หาหลักฐานมาให้เขา ให้เขาช้าสื่อในการเอาคืนหลินอิ่ง

ปรากฏว่า ไม่ได้ข่าวดีจากถังคังเจิ้น

กลับกัน ข่าวที่ถูกปิดกั้นไปไม่กี่วัน ก็ระเบิดกันออกมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำยังรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วอีก ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ค่อนข้างร้ายแรง

“ฮัลโหล เหล่าถัง ได้ดูข่าววันนี้หรือยัง? เรื่องนี้มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”

เมื่อโทรติดแล้ว จี้ฉงซานก็พูดอย่างเคร่งเครียด

“คุณท่านจี้ อีกหน่อยถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ก็อย่าโทรหาผมเป็นการส่วนตัวอีก”

“ถ้าหากคุณคิดว่าได้รับความไม่ยุติธรรม ก็ขอให้คุณไปที่ศาลากลางเอง ไปทำการร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของถังคังเจิ้นที่เคร่งขรึม

“การรายงานข่าวจากสื่อ ผมดูแล้ว ผมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำอะไรได้”

“เป็นคนซื่อตรงไม่กลัวเงาเอียง คุณ ทำตัวคุณให้ดีละกัน”

ฟังคำพูดพวกนี้ไปแล้ว จี้ฉงซานสีหน้าเปลี่ยน

ทัศนคติและน้ำเสียงคำพูดของถังคังเจิ้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว

ต้องรู้ว่า ถังคังเจิ้นกับเขามีความสัมพันธ์รู้จักกันนานหลายปี เมื่อก่อนกระตือรือร้น ตอนนี้ทำไมถึงแสดงท่าทางห่างเหินกันขนาดนี้?

จี้ฉงซานคิดไปสักพัก พูดอย่างจริงจัง “เหล่าถัง คุณก็ไม่ต้องพูดจาทางการอะไรกับผมแล้ว”

“เห็นแก่ความสัมพันธ์กันมายาวนาน คุณให้คำตอบกับผมหน่อย ว่าคุณถูกใครกดดันกันแน่?”

“คุณวางใจ ผมไม่ทำให้คุณลำบากใจ ทำตัวลำบากแน่”

โทรศัพท์ฝั่งโน้น ถังคังเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง

“เหล่าถัง คุณก็คิดสักว่าผมหน้าด้านขอร้องคุณละกันนะ คุณช่วยผมสักครั้งนะ มีปัญหาอะไร พวกเราช่วยกันคิดวิธีแก้ปัญหาได้” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้ามีความสัมพันธ์อะไรที่แก้ไม่ได้ ผมสามารถหาวิธีได้”

จี้ฉงซานใจร้อนเหมือนมดในกระทะ

คิดยังไงเขาก็คิดไม่ออกว่าปัญหามีคืออะไร ถังคังเจิ้นทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดปากพูด?

หรือว่า ยังมีใครอีก ที่สำคัญและต้องไว้หน้ามากกว่าเขาจี้ฉงซาน? ถึงต้องให้เขาถังคังเจิ้นเคารพและระวังขนาดนี้?

หลินอิ่ง?

เป็นไปไม่ได้

ไอ้เด็กหลินอิ่งนั่น ไม่มีรากฐานอะไรในเมืองก่างเลย ไม่มีเครือข่ายความสัมพันธ์อะไรเลย จะสร้างความกดดันให้คนอันดับหนึ่งแห่งเมืองก่างได้?

“คุณท่านจี้ ผมบอกคุณให้รู้ละกัน” ถังคังเจิ้นพูดอย่างเคร่งเครียด

“ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยคุณ แต่ว่า ลำพังผมเองยังเอาตัวรอดไม่ได้”

“อะไร? เหล่าถัง? ทางคุณเกิดปัญหาอะไร? หรือว่าในเมืองก่างยังมีใครกล้ากดดันคุณได้?” จี้ฉงซานถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ถังคังเจิ้นพูดอย่างเคร่งขรึม “คนทางตี้จิงมาแล้ว”

“คุณท่านจี้ ผมพูดกับคุณตรงๆ เรื่องของคุณ ผมจะไม่ยุ่งอีกแล้ว”

“ท่านหลุยกงแห่งตี้จิง ส่งคนมาตรวจสอบผมที่เมืองก่าง และทำการทักทายเรียบร้อยแล้ว”

“แล้วก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว คุณท่านจี้ พฤติกรรมของคุณในตี้จิง ปิดบังท่านหลุยกงใช้อำนาจเขาไปมีเรื่องกับหลินอิ่ง ทำให้ท่านหลุยกงไม่พอใจอย่างมาก”

“เพราะฉะนั้น เรื่องต่อจากนี้ คุณระวังเองละกัน”

เสียงดังติ๊ดติ๊ด

พูดจบ ถังคังเจิ้นวางสาย

จี้ฉงซานวางโทรศัพท์ลง แววตาเหม่อลอย รู้สึกถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แม้แต่ถังคังเจิ้นยังเอาตัวเองไม่ลอด?

หลินอิ่งมีพลังอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ?

สีหน้าจี้ฉงซานเคร่งเครียด ยังอยากโทรกลับไปอีก อยากหาถังคังเจิ้นถามเรื่องราวให้ชัดเจน

แต่ว่า ก็ไม่กล้าโทรกลับไปอีก

คำพูดของถังคังเจิ้น พูดอย่างชัดเจนแล้ว

แต่ว่า ในใจจี้ฉงซานรับไม่ได้เอง อำนาจที่หลินอิ่งใช้ กลับสามารถสร้างความกดดันให้เขาที่เมืองก่างได้

“พ่อ เป็นอะไร? ทำไมถึงได้หน้าซีดขนาดนี้? นายกเทศมนตรีถังพูดยังไง? หรือว่าเขาจะไม่ช่วยตระกูลจี้ของเรา?” จี้ชวนรีบถาม สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจี้ฉงซาน

“เห้อ” จี้ฉงซานถอนหายใจ “นายกสมาคมถังยังเอาตัวรอดไม่ได้ คงคาดหวังอะไรไม่ได้……”

เขารู้สึกขมขื่นในใจอย่างมาก ทั้งตะลึงและรู้สึกเจ็บใจ

เป็นท่านหลุยกงแห่งตี้จิงที่เป็นคนให้ความกดดันนายกสมาคมถัง?

นี่? ไม่ว่ายังไงท่านหลุยกงกับเขาจี้ฉงซาน ก็ถือว่ามีความสัมพันธ์กันบ้าง

ครั้งที่แล้วเขาอยู่ตี้จิง ก็แค่ใช้แผนการไม่ดี เล่นเกมโกงนิดหน่อย พักที่ตำหนักหลุยกง ใช้แผนการลอบจับคนของหลินอิ่งไป

ปรากฏว่า คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะสามารถบีบจนท่านหลุยกงก้มหัวได้ ทำให้ท่านหลุยกงหันกลับมาโมโหใส่เขาจี้ฉงซาน?

ไม่น่าเชื่อจริงๆ

นี่เป็นปัญหาที่จี้ฉงซานไม่เคยคิดเลยแม้แต่น้อย

เขารู้ว่าหลินอิ่งเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ หรืออาจจะมีอำนาจในวงการลึกลับ

แต่ว่า คิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้

“นายกเทศมนตรีถังพึ่งไม่ได้แล้ว? เป็นไปได้ยังไง? พ่อ ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ตระกูลจี้ของเราจะทำยังไงต่อไป พ่อไปมีเรื่องกับคนเก่งกาจที่ไหนมา?” จี้ชวนถามด้วยความตกใจ สีหน้าไม่อยากเชื่อ

“แกจะกระวนกระวายอะไรถึงขนาดนี้?” จี้ฉงซานต่อว่าจี้ชวนด้วยสีหน้าไม่พอใจ “นายกเทศมนตรีถังช่วยไม่ได้ ฉันก็จัดการเรื่องนี้ไม่ได้หรือไง?”

“จี้ชวน แกไปที่ศูนย์ฝึกอบรม ไปเรียกที่ปรึกษาChloeมา” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ต้องใช้อำนาจของทางด้านพอร์ตเล็ตแล้ว ครั้งนี้ ฉันจะให้หลินอิ่งมันมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว”

“ไม่ใช่เขาตา ก็คือฉันตาย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท