ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 454 ดูถูกคุณแล้วยังไง?

บทที่ 454 ดูถูกคุณแล้วยังไง?

อาคารไวโอเลต

อยู่ที่ศูนย์กลางเขตเซียงหลันเมืองก่างที่เจริญรุ่งเรือง รอบด้านเต็มไปด้วยอาคารตึกสูง

อาคารพาณิชย์นี้ เดิมก็มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองก่างอยู่แล้ว ถือเป็นอาคารสัญลักษณ์แห่งเขตเซียงหลัน

ครั้งนี้ ถูกบริษัทข้ามชาติลาตินกรุ๊ปรับซื้อ ใช้เป็นอาคารสำนักงานสาขาเมืองก่าง ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงกว่าเดิม

เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่องราวที่พูดคุยกันอย่างร้อนแรงในวงการธุรกิจเมืองก่าง บวกกับการโฆษณาของลาตินกรุ๊ปแล้ว ปล่อยแผนการลงทุนโครงการใหญ่ในเมืองก่างมากมาย เป็นผู้นำแนวทางธุรกิจใหม่

โดยเฉพาะ ในเวลาแบบนี้

ระบบการเงินในปั่นป่วนในเมืองก่าง การสู้รบกันในวงการธุรกิจระหว่างจี้ฉงซานกับบุคคลลึกลับ การใช้อำนาจผูกขาดในธุรกิจได้รับผลกระทบ

การก่อตั้งบริษัทสาขาของลาตินกรุ๊ป ถูกคนในแวดวงธุรกิจมองว่า เป็นจุดเปลี่ยนและแนวทางใหม่ของแนวทางธุรกิจในเมืองก่าง

เพราะว่า ลาตินกรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีเงินทุนแน่นหนา สามารถเปลี่ยนสภาพแววล้อมทางการเงินของเมืองหนึ่งได้

บวกกับคนที่ควบคุมงานใหญ่ในอาคารไวโอเลตในครั้งนี้ คือโครเมียร์ แอนนา

คนที่ข่าวสารกว้างขวางล้วนได้ยินกันว่า โครเมียร์ แอนนา เป็นคุณหนูจากวงศ์ตระกูลที่มีทรัพย์สินแน่นหนาในฝั่งตะวันตก

ถึงแม้จะมีคนไม่รู้ว่าตระกูลโครเมียร์เป็นตระกูลระดับไหน เป็นแนวความคิดแบบไหน

แต่ว่า ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเอิร์ลแน่นอน

คำว่าท่านเอิร์ล ในเมืองก่างนั้นชื่อเสียงโด่งดัง

ขอแค่คนที่ทำธุรกิจกับต่างประเทศ ติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเอิร์ลแน่นอน เพราะว่าผู้อาวุโสที่ลึกลับแห่งโลกตะวันตกท่านนี้ แข็งแกร่งและร่ำรวยมหาศาลมาก

หลานสาวสุดที่รักของท่านเอิร์ลมาเปิดสาขาย่อยที่เมืองก่าง ข่าวนี้ เป็นที่พูดคุยกันอย่างร้อนแรงในแวดวงสังคมเมืองกาง

รถของหลินอิ่งจอดที่หน้าอาคารไวโอเลต

หลินอิ่งพาฮาเดสเดินเข้าไปในอาคาร

คริสถูกหลินอิ่งส่งไปจัดการเรื่องภายในบริษัท

เวลานี้ รอบด้านอาคารไวโอเลต มีรถหรูจอดอยู่มากมาย มีคนที่แต่งกายสวยหรูทั้งในและต่างประเทศเข้าๆออกๆ สถานการณ์ครึกครื้น

ลานกว้างในชั้นแปด ได้ปูพรมแดงไว้แล้ว จัดโต๊ะคริสทัล มีพนักงานสาวผมทองในชุดทำงานแต่ละคน ทำหน้าที่ต้อนรับแขก บอดี้การ์ดต่างชาติแต่ละนายสีหน้าเย็นชา เดินดูแลความปลอดภัย

ห้องจัดงานอันกว้างขวาง บรรจุคนได้ถึงพันที่นั่ง เลิศหรูอลังการมาก

“คุณหลิน สวัสดีค่ะ ฉันคือเลขาของคุณแอนนา”

หลินอิ่งเพิ่งเดินเข้างาน ก็มีผู้หญิงต่างชาติผิวขาวใส่แว่น บุคลิกสง่าหน้าตาสวยงามคนหนึ่งเดินมาต้อนรับ

“สวัสดี” หลินอิ่งพยักหน้าตอบอย่างมีมารยาท

“คุณหลิน คุณแอนนาจัดที่ไว้ให้ท่านแล้ว อยู่ในที่นั่งแขกวีไอพีการเปิดงานเลี้ยง” หญิงต่างชาติพูดอย่างจริงจัง “เชิญคุณตามฉันมา”

พูดไป เธอพาหลินอิ่งไปในกลางงานเลี้ยง ข้างโต๊ะคริสทัลที่โดดเด่น

หลินอิ่งนั่งลงไปบนที่นั่งอย่างสง่า เลขาสาวยื่นน้ำชาดำไปให้อย่างเคารพ

“คุณหลิน เชิญตามสบาย เมื่องานเปิดบริษัทเริ่มขึ้น คุณแอนนาจะมาด้วยตัวเอง” เลขาสาวบอก

“อีกอย่าง คุณแอนนาสั่งไว้ว่า ถ้าท่านมีความต้องการอะไรก็บอกกับพนักงานของเราได้เลย”

หลินอิ่งดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง แล้วพยักหน้า

เมื่อเลขาสาวจากไปแล้ว หลินอิ่งก็มองไปรอบด้าน

รอบด้าน บนโต๊ะแขก นั่งเต็มไปด้วยชายหญิงในชุดราตรีนั่งเต็มไปหมด

คนที่นั่งอยู่นั้นหน้าตาโดดเด่น ดูออกได้ง่ายว่าเป็นคนประเทศไหน

คนประเทศM ประเทศบริเตนใหญ่ ประเทศหลุง คนเอเชีย คนแอฟริกา คนเกาหลี คนต้าเหอ

นักธุรกิจของแต่ละประเทศ ล้วนมาร่วมงานเปิดบริษัทของโครเมียร์กรุ๊ป

เห็นได้ชัดว่า ตระกูลโครเมียร์มีผลกระทบมากแค่ไหนในต่างประเทศ

ไม่ว่านักธุรกิจที่อยู่ในเมืองก่าง หรือต่างประเทศได้ยินชื่อนี้แล้ว ต่างพากันมาตามชื่อเสียง

ดื่มชาไปหนึ่งแก้ว หลินอิ่งถือแก้วน้ำชา กำลังคิดอะไรบางอย่าง

โครเมียร์ แอนนา ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนจะมีความทะเยอทะยานไม่น้อย

งานเลี้ยงเปิดบริษัทจัดได้ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีก่อตั้งบริษัทเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนเป็นการแสดงถึงการมาของตระกูลโครเมียร์

แบบนี้ก็เหมือนการแสดงตัวเป็นผู้นำ เหมือนดั่ง “การประชุมศิลปะการต่อสู้” ในวงการธุรกิจ

ต้องรู้ว่า ผู้คนที่นั่งในนี้ ล้วนเป็นคนใหญ่โตมีหน้ามีตาในเมืองก่าง

แต่ว่า หลินอิ่งไม่ค่อยเข้าใจ แอนนาเชิญเขาให้มาร่วมงานพิธีเปิดบริษัทครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องการทำอะไร?

เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เชิญเพราะมารยาท แต่มีเป้าหมายอย่างอื่น

ไม่ว่ายังไง หลินอิ่งก็ถือให้หน้า มาร่วมงานของเพื่อนเท่านั้น

“พวกเธอดูชายหนุ่มประเทศหลุงคนนั้น? พวกเธอรู้จักไหม? ทำไมเขาถึงได้นั่งในที่นั่งแขกวีไอพีของตระกูลโครเมียร์ได้?”

“โอ้? ไม่รู้จัก ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย หรือว่าเป็นเพื่อนใหม่ที่คุณแอนนาเพิ่งรู้จัก?”

“ไม่ใช่มั้ง ถ้าเป็นเพื่อนที่เพิ่งรู้จัก ทำไมถึงให้เขานั่งที่นั่งแขกวีไอพี? ดูเหมือนเขาสูงส่งกว่าทุกคนหนึ่งระดับ?”

“เพราะอะไร? ไอ้เด็กหนุ่มดูโง่เขลาคนหนึ่ง จะมีตำแหน่งฐานะสูงกว่าเรา?”

คนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหลินอิ่ง ซุบซิบคุยกัน ถกเถียงกันด้วยสีหน้าไม่พอใจ

หลินอิ่งขมวดคิ้ว มองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

คนประเทศMพวกนี้ อายุประมาณสามสิบ พูดภาษาต่างประเทศ

“โอ้ คนประเทศหลุงนั่นมองมาแล้ว หรือว่าเขาฟังภาษาของเราเข้าใจ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างตกใจ

“เขาจะไปฟังเข้าใจได้ยังไง? ถึงเขาจะเคยฝึกภาษาประเทศMก็ฟังไม่รู้เรื่อง พวกเราพูดภาษาประเทศM ในเมืองของพวกเรา ไม่ใช่ภาษากลางของประเทศM” คุณนายสาวต่างชาติคนหนึ่งพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ท่านประธานทุกท่าน พวกท่านไม่ต้องกังวล ถึงไอ้น่าโง่นี่จะได้ยินแล้วยังไง? หรือมันจะกล้าหาเรื่องกับพวกท่าน?” ชายหนุ่มประเทศหลุงคนหนึ่ง มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าดูถูก ในปากพูดภาษาประเทศM “เท่าที่ผมดูแล้ว ไอ้หน้าโง่นี่ก็แค่คนไม่เคยออกสังคม หาที่นั่งตัวเองไม่เจอ ไปนั่งที่แขกวีไอพีเพราะไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวถ้าพนักงานเห็น ก็คงไล่ไปเอง”

“อืม มีเหตุผล เสี่ยวเผ่ย นายพูดถูก” ชายแก่ต่างชาติใส่แว่นคนหนึ่ง พยักหน้า ท่าทางเห็นด้วย “แม้แต่พวกเรายังไม่ได้นั่งที่นั่งวีไอพีของตระกูลโครเมียร์เลย ดูท่าทางมันไอ้เด็กหน้าโง่ขนาดนั้น มีสิทธิ์อะไรไปนั่ง?”

คนที่นั่งแต่ละคน ล้วนเป็นคนต่างชาติที่ฐานะไม่ธรรมดา นักทุนนิยมฐานะไม่ธรรมดา ครั้งนี้ที่มาร่วมงานเลี้ยงพิธีเปิดงานของโครเมียร์กรุ๊ป ก็เพื่ออยากแสดงตัวประจบตระกูลโครเมียร์

มองดูแวดวงมหาเศรษฐีในเมืองก่างนี้ มีเด็กหนุ่มที่ไร้ชื่อเสียง นั่งอยู่บนที่นั่งตำแหน่งพิเศษของแขกวีไอพี อยู่เหนือพวกเขาระดับหนึ่ง ใครจะไปพอใจ?

“คุณกำลังพูดอะไร?”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่ผู้ชายที่ชื่อเสี่ยวเผ่ยคนนั้น

“นาย?”

เสี่ยวเผ่ยแววตาตะลึง มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ

เขาคิดไม่ถึง ว่าหลินอิ่งจะฟังคำพูดเสียดสีของเขาเข้าใจ

“ถ้าคุณไม่พอใจอะไรในตัวผม ก็พูดตามตรงต่อหน้าผม ผมจะถือว่าคุณเป็นลูกผู้ชาย” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ภาษาประเทศM คุณคิดว่ามีแค่คุณพูดเป็นคนเดียวเหรอ?”

ต่อหน้าเขา ใช้ภาษาต่างประเทศพูดจาเสียดสีด้วยสีหน้าดูถูก

นี่ไม่เห็นคนเป็นคนหรือไง?

“ฉัน ฉัน…..” เสี่ยวเผ่ยหน้าแดง ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรตอบสนองยังไง

“เสี่ยวเผ่ย นายอธิบายอะไรกับไอ้หนุ่มโง่นั่น จำเป็นต้องอธิบายกับมันด้วยเหรอ?”

คราวนี้ น้ำเสียงที่อวดดีก็ดังขึ้นมา

ชายต่างชาติผมหยิกผูกไทในชุดสีขาวคนหนึ่ง กอดสาวสวยหน้าตาดีคนหนึ่ง สีหน้ายโสโอหัง

“ถึงเสี่ยวเผ่ยจะด่านาย แล้วยังไง? ดูถูกนายแล้วยังไง? ไอ้หนุ่มยากจนอย่างนาย ฉันไม่เคยเห็นในเมืองก่าง มีสิทธิ์อะไรไปนั่งที่นั่งวีไอพี?” ชายผมหยิกถามเสียงเย็นชา พูดภาษาประเทศหลุงด้วยสำเนียงแปลกๆ น้ำเสียงอวดดีอย่างมาก

ข้างหลังเขา มีบอดี้การ์ดใส่แว่นดำสองนาย จ้องหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท