ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 463 ไร้สิ้นหนทาง

บทที่ 463 ไร้สิ้นหนทาง

แพร้ง

แก้วน้ำชาในมือจี้ฉงซาน ขว้างทิ้งไปบนพื้น น้ำชากระเด็น

จี้ฉงซานเหงื่อท่วมหัว เหงื่อเต็มมือ มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ อยู่ในอาการหวาดผวา ในใจต้องแบกรับกับความกดดันมหาศาล

หลายวันนี้มา เพราะว่าหลินอิ่ง จี้ฉงซานนอนไม่หลับ ความเครียดและความกดดันเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จนถึงวันนี้ต้องทนไม่ไหวแล้ว อำนาจที่สั่งสมมาหลายสิบปี ก็นั่งไม่อยู่แล้ว

หลินอิ่งคนนี้ แข็งแกร่งใหญ่โตเกินไป

“คุณท่านจี้ คุณ คุณ ไม่อย่างนั้นก็ฟังคำแนะนำของตระกูลพอร์ตเล็ตก่อน ถอนตัวออกจากเมืองก่าง ไปอยู่เมืองนอกก่อน” พ่อบ้านเห็นจี้ฉงซานควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แบบนี้ ก็พูดจาปลอบ “ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา”

“ไม่ ฉันจะไปจากเมืองก่างไม่ได้”

จี้ฉงซานตะโกนอย่างโมโหจนเส้นเลือดโผล่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

เมืองก่าง เป็นรากฐานที่เขาบริหารมานานหลายสิบปี

เป็นดินแดนรากฐานธุรกิจของตระกูลจี้

ถ้าหากต้องทิ้งธุรกิจในเมืองก่างไป หนีไปต่างประเทศ ถ้าเช่นนั้นเขาจี้ฉงซาน ก็เหมือนดั่งคนไร้บ้านไร้หนทาง

ตระกูลพอร์ตเล็ตที่เป็นตระกูลในโลกมืด เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บคนไร้ประโยชน์ไว้แน่นอน

จี้ฉงซานรู้ดี ที่เขาสามารถร่วมมือกับตระกูลอันดับหนึ่งในโลกมืดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะว่าในเมืองก่างมีเงื่อนไขข้อได้เปรียบที่ดี มีอำนาจผลกระทบที่คนอื่นเทียบไม่ได้ ควบคุมระบบการเงินของเมืองแห่งตลาดหลักทรัพย์สากลแห่งนี้

สูญเสียของพวกนี้ไป

เขาจี้ฉงซาน เขาจี้ฉงซานยังมีสิทธิ์อะไรไปเจรจาการร่วมงานกับตระกูลพอร์ตเล็ตอีก?

“แต่ว่า คุณท่านจี้ ท่านอยู่ในเมืองก่าง สูญเสียเครือข่ายข่าวกรองไปแล้ว ไม่มีอำนาจมืดใดๆให้ใช้แล้ว” พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ท่านก็ไม่มีโอกาสในการกลับมาอีกแล้ว ส่วนทางด้านหลินอิ่ง ตามโจมตีท่านไม่หยุด ถ้าให้เขาหามาถึงเกาะแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็จบสิ้นทุกอย่างแล้ว”

“หุบปาก ฉัน ฉันไม่มีวันแพ้หลินอิ่งแน่” จี้ฉงซานพูดอย่างลังเล ไม่มีความมั่นใจเต็มที่ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

“จี้ฝู ฉันขอถามหน่อย ทุกวันนี้ในตัวเมืองก่าง สถานการณ์เป็นยังไง?” จี้ฉงซานพยายามสงบสติอารมณ์ พูดอย่างจริงจัง “สถานการณ์การบริหารของบริษัทวั่นซานเป็นยังไงบ้าง? หุ้นเป็นยังไงบ้าง?”

จี้ฝูสีหน้าหม่นหมอง พูดว่า “คุณท่านจี้ สถานการณ์ในเมืองก่างไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังคงเหมือนเดิม ถูกการโจมตีด้านการเงินจากหลินซื่ออย่างบ้าคลั่ง ในตลาดหุ้นทรุดตัวและระงับการซื้อขายไปแล้ว”

“หลินอิ่ง ครอบครองสิทธิ์ในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง ล้มอำนาจเด็ดขาดของท่านในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง และยังทำให้พวกนักธุรกิจและเหล่าตระกูลต่างๆที่ท่านเคยกดขี่ รวมตัวกันใหม่ขึ้นมาต่อต้านท่าน” จี้ฝูพูดอย่างเชื่องช้า “ไม่มีการควบคุมวงการธุรกิจโดยสมาคมธุรกิจ ผลกระทบต่อแวดวงธุรกิจของบริษัทก็ลดลงกว่าครึ่ง”

“อีกอย่าง บวกกับเทพบันทึกสารคดีที่หลินอิ่งเอาออกมา เปิดเผยเรื่องราวของท่าน ทางด้านสงครามสื่อมวลชน พวกเราพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ชื่อเสียงของบริษัท ชื่อเสียงของท่านเอง ตกต่ำถึงที่สุด”

“ตระกูลจี้สูญเสียความเชื่อถือในเมืองก่าง นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวที่สุด”

“เมื่อวาน ทางกรมกฎหมายยังส่งหมายเรียกให้ท่านแล้ว บอกว่าท่านทำผิดเรื่องใหญ่ ถูกทั้งเมืองก่างฟ้องร้อง ให้เวลาท่านสามวัน เตรียมทนายให้พร้อม แล้วไปที่กรมกฎหมาย ถ้าหากไม่ไปตามหมายเรียก ก็จะออกหมายจับทันที”

จี้ฝูรายงานข่าวสารที่ไม่ดีกับจี้ฉงซานไปด้วยเหงื่อท่วมหัว พูดไปด้วยเสียงสั่น

ใช่แล้ว สถานการณ์เมืองก่างไปถึงขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้แล้ว

ตระกูลจี้พ่ายแพ้อย่างราบคาบในทุกๆด้าน

ไม่ว่าจะในที่แจ้ง หรือว่าในที่ลับ

ต่างก็สู้หลินอิ่งไม่ได้

ไร้สิ้นหนทาง

นี่เป็นคำประเมินที่เหมาะสมที่สุด สำหรับตำนานแห่งเมืองก่างอย่างจี้ฉงซานท่านนี้

“ฉัน มาถึงจุดนี้ได้ยังไง……” จี้ฉงซานยื่นมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก น้ำเสียงสั่นเครือ

อาณาจักรธุรกิจของจี้ฉงซานในเมืองก่าง ถูกหลินอิ่งกดดันจนหายใจไม่ออก เหมือนถูกยิงจนทะลุ พร้อมร่วงตลอดเวลา

พูดได้ว่า ไม่ถึงสิบวัน ตระกูลจี้ต้องประกาศล้มละลาย

นี่เป็นผลลัพธ์ที่จี้ฉงซานไม่เคยคิดถึงเลย

ตอนแรกคิดว่าอยากล่อหลินอิ่งซึ่งเป็นคนนอกให้เข้ามาที่เมืองก่าง ก็เหมือนกับกับกบในโอ่ง จะทำอะไรหลินอิ่งก็ได้

แต่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อย ว่าหลินอิ่งไม่ใช่กบ แต่เป็นมังกรที่แท้จริง

มังกรพ่นลมหายใจ นั่นก็หมายความว่าทั่วเมืองก่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล น้ำทะเลไหลทวน

จนถึงวันนี้วินาทีนี้ ในใจจี้ฉงซาน ถึงรู้สึกเสียใจ

ทำไมตอนแรกถึงได้ดูถูกหลินอิ่ง?

ทำไมถึงไปจับลูกน้องของหลินอิ่ง ทำไมถึงต้องไปหาเรื่องเทวดาอย่างหลินอิ่ง?

“จี้ฝู จี้ฝู เอามือถือเข้ารหัสของฉันมา……” จี้ฉงซานพูดด้วยเสียงสั่น

จี้ฝูสีหน้าเคร่งเครียด พยุงตัวจี้ฉงซาน ยื่นมือถือมาให้

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด

จี้ฉงซานรีบกดเบอร์โทรออก

“นายหญิงเหวิน ทางด้านท่านมังกรดำ ยังไม่เตรียมตัวลงมืออีกเหรอ?” จี้ฉงซานถามอย่างใจร้อน “ทางด้านตระกูลพอร์ตเล็ตก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว สถานการณ์ในเมืองก่าง ผมหมดหนทางแล้ว”

“คุณท่านจี้ คุณทำให้นายท่านผิดหวังมาก” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงอันเย็นชาของเหวินเทียนเฟิ่ง “เผชิญหน้ากับหลินอิ่งที่เมืองก่าง คุณยังไม่สามารถบีบเอาไพ่เขาออกมาไม่ได้ นายท่านเขาสงสัยในความสามารถของคุณ”

“นายหญิงเหวิน คุณหมายความว่ายังไง?” จี้ฉงซานพูดเสียงเคร่งขรึม “ผมช่วยนายท่านทำงาน ใช้อำนาจทั้งหมด จนทุกวันนี้ สู้รบกับหลินอิ่งจนหมดหนทางแล้ว แม้แต่ชื่อเสียงของตระกูลจี้ในเมืองก่างก็เน่าเหม็นหมดแล้ว บริษัทจะล้มละลายแล้ว คุณยังพูดจาเย็นชาแบบนี้อีก?”

“ฉันพูดจาเย็นชา? คุณท่านจี้? ความสามารถคุณสู้คนอื่นไม่ได้ สู้หลินอิ่งไม่ได้ ยังอยากพรานโกรธฉันอีก? เสียดายที่คุณยังมีอายุถึงปูนนี้ ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองก่าง อยู่ในถิ่นในบ้านของตัวเองในเมืองก่าง กลับทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้” เหวินเทียนเฟิ่งพูดจาโมโหที่เขาทำอะไรไม่ได้เรื่อง

จี้ฉงซานหายใจหอบ โมโหอย่างหนัก

“พอแล้ว คุณไม่ต้องอารมณ์เสียแล้ว นายท่านเขาเตรียมการไว้แล้ว คุณถอนตัวจากเมืองก่างก่อน กลับไปอยู่เมืองนอกก่อน” เหวินเทียนเฟิ่งพูด “ธุรกิจรากฐานของคุณในเมืองก่าง เมื่อเทียบกับแผนการใหญ่ของนายท่าน เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยมาก”

“ทำตามคำสั่งของนายท่าน ในอนาคต จะเอาทุกอย่างในเมืองก่างกลับมาได้ ไม่แค่เอาของที่เป็นของคุณกลับมาได้ ยังได้มากกว่าเดิมอีก” เหวินเทียนเฟิ่งพูดเสียงเรียบ

“ผมจะทิ้งเมืองก่างไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนตัวกลับต่างประเทศ” จี้ฉงซานพูดอย่างโมโห

ในใจจี้ฉงซานรู้ดี ถ้าตัวเองต้องถอนตัวไปต่างประเทศ นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แม้แต่นายท่านมังกรดำ ก็จะสละเขาทิ้งแน่นอน

“ถ้าหากคุณไม่ยอมฟังคำสั่งของนายท่าน คุณก็รอตายอยู่ที่เมืองก่างละกัน” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเย็นชา

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จำไว้ อย่าเปิดโปงความลับของนายท่าน มิฉะนั้น คนที่ต้องตาย จะไม่ใช่คุณคนเดียว” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเย็นชา “คุณต้องเข้าใจ ครอบครัวของคุณ ลูกชายทั้งหลายของคุณ ยังใช้ชีวิตอย่างดีในต่างประเทศ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท