ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 472 ยิ่งอยู่ยิ่งหนัก

บทที่ 472 ยิ่งอยู่ยิ่งหนัก

“ฉันมาทำไม?” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าดูถูก พูดเสียงเย็นชา “ฉันก็มาดูเรื่องตลกของครอบครัวพวกเธอไง”

“ฉันก็อยากให้ครอบครัวเธอรู้ ฉันแค่กระดิกนิ้วนิดหน่อย ก็ทำให้เธอจางฉีโม่ ล้มละลายไม่เหลืออะไรเลย” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดอย่างยโส “จางฉีโม่ ตอนนี้เธอรู้หรือยัง? ว่าเธอกับฉันมันต่างกัน ก็เหมือนกับหงส์บนฟ้ากับไก่ป่า”

จ้าวหลินเอ๋อร์พูดประโยชน์นี้ไปด้วยสีหน้าได้ใจ สะบัดมืออย่างยโส

“ไปบอกพวกเขาที ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของใคร”

“ครับ คุณจ้าว”

ชายหนุ่มของเสว่หลงกรุ๊ป มองครอบครัวจางฉีโม่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หยิบเอกสารออกมาหลายฉบับสีหน้าจริงจัง โยนไปที่โต๊ะอาหาร

พูดอย่างจริงจัง “คุณจางฉีโม่ คฤหาสน์หลังนี้ในวิลล่าหิมะมังกร อยู่ในนามของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ วันนี้ บริษัทเครื่องประดับของคุณอยู่ในสถานะล้มละลาย บริษัทของเราได้ยื่นเรื่องกับฝ่ายกฎหมายเมืองชิงหยูนแล้ว ทำตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง ทำการขายคฤหาสน์หลังนี้แล้ว”

“ส่วนผู้ซื้อ ก็คือคุณจ้าวหลินเอ๋อร์”

“ดังนั้น คฤหาสน์ที่พวกคุณกำลังอยู่นี้ เป็นของคุณจ้าว ตามคำขอของเจ้าของบ้าน เชิญพวกคุณย้ายออกไปจากวิลล่าหิมะมังกรเดี๋ยวนี้”

“อะไรนะ เธอซื้อคฤหาสน์ของครอบครัวเรา? เป็นไปได้ยังไง?”

ลู่หย่าฮุ่ยมองหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์อย่างไม่อยากเชื่อ สายตาตกตะลึง รีบหันไปมองจางฉีโม่

“ลูก นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี มองหน้าจ้างหลินเอ๋อร์อย่างเคียดแค้น

“แม่ การเงินของบริษัทมีปัญหานิดหน่อย” จางฉีโม่พูด

“หา? ทำไมปัญหาถึงใหญ่โตขนาดนี้?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างตกใจ “ทำไมแม้แต่คฤหาสน์ขอถูกสำนักงานกฎหมายเอาไปประมูลขายแล้ว?”

ลู่หย่าฮุ่ยเคยได้ยินก่อนหน้านี้ ว่าบริษัทขอลูกสาวเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย

แต่ว่า คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้แล้ว

ผู้หญิงแซ่จ้าวคนนี้ โหดร้ายเกินไปแล้ว?

นี่จะบีบให้ครอบครัวของพวกเขาหมดหนทาง?

“ถ้าอย่างนั้น คฤหาสน์หลังนี้ขายได้เท่าไหร่? ผู้หญิงคนนี้ใช้เงินเท่าไหร่? ทำไมพวกเราไม่เห็นเงินเลย?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างสงสัย

จางฉีโม่ถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ขั้นตอนทางธุรกิจพวกนี้ แม่เธอลู่หย่าฮุ่ยไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ความสนใจอยู่แค่เรื่องจำนวนเงิน

“เหอะเหอะ เท่าไหร่?” จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา “ฉันมาบอกพวกเธอละกัน คฤหาสน์หลังนี้ ราคาสองร้อยแปดสิบล้าน ฉันซื้อมาแล้วในจำนวนนี้ไม่ขาดสักบาท”

“ส่วนเงินนี้ ได้เอาไปช่วยปัญหาการเงินของบริษัทเครื่องประดับของพวกคุณแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเชื่องช้า “บริษัทเครื่องประดับของพวกคุณ ติดหนี้สินมากมาย หลุมใหญ่โตขนาดนั้น เติมยังไงก็เติมไม่เต็มแล้ว”

“จางฉีโม่ ตอนนี้เธอรู้แล้วซินะ? ไม่มีหลินอิ่ง เธออะไรก็ไม่ใช่ แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ หลินอิ่งก็เป็นคนซื้อให้เธอ อย่าโทษฉันว่าโหดเกินไป ฉันก็แค่เก็บทรัพย์สินของตระกูลฉันคืนมา”

ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์ คิดว่าตัวเองเป็นภรรยาตัวจริงของหลินอิ่งไปแล้ว

จางฉีโม่มีวันนี้ได้ ล้วนพึ่งพาอำนาจความสามารถของหลินอิ่ง หลินอิ่งเป็นคนให้ทุกอย่างกับจางฉีโม่

แต่ว่า เธอจ้าวหลินเอ๋อร์ถึงจะเป็นภรรยาที่ตัวจริงของหลินอิ่ง ไม่มียอมให้ผู้ชายของตัวเอง ช่วยเหลือผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างนอกเด็ดขาด

ดังนั้น จ้าวหลินเอ๋อร์ไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ว่าเรื่องที่ตัวเองทำนั้นไม่เหมาะสม

“อะไร? หลินอิ่ง? อะไรปัญหาการเงินของบริษัท?”

ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงหน้างงไปหมด

พวกเขาสองคนไม่เข้าใจเรื่องทางธุรกิจเลยแม้แต่น้อย

รู้แค่ว่าบริษัทของลูกสาวตัวเองยิ่งทำยิ่งใหญ่ ยิ่งอยู่ยิ่งรวย

แค่ฟังคฤหาสน์ราคาสองร้อยล้านถูกประมูลขายไปแล้ว ถูกเอาไปช่วยเหลือปัญหาการเงินบริษัท แค่คิดก็เหมือนอยากกระอักเลือด

สำหรับเรื่องที่ว่าลูกสาวตัวเองพึ่งพาหลินอิ่งทั้งหมด?

ให้ตายลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่มีวันเชื่อ ลูกสาวตัวเองพึ่งพาไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นทั้งหมด? ผู้หญิงแซ่จ้าวคนนี้ พูดไปเลื่อยชัดๆ เพื่ออยากจะเหยียดหยามลูกสาวตัวเอง

“ไอ้ผู้หญิงเลวอย่างเธอ ท้องไส้ก็มีแต่เรื่องเลวๆ ใช้แผนชั่วร้ายบีบจนบริษัทลูกสาวฉันมาถึงจุดนี้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห “เธอมันเป็นพวกเดียวกับหลินอิ่งจริงๆ กลับมาใส่ร้ายลูกสาวฉันว่าอาศัยไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่น? ในเมืองชิงหยูนมีใครไม่รู้บ้าง ว่าหลินอิ่งมันแต่งเข้ามาอยู่กับครอบครัวเรา เกาะลูกสาวฉันกิน”

“เธออย่าคิดว่าเธอชนะแล้ว บริษัทของลูกสาวฉัน ไม่มีวันถูกเธอทำล้มง่ายๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ

“เหอะ ช่างเป็นผู้หญิงงมงายไร้การศึกษาจริงๆ คิดว่าหลินอิ่งที่เธอรู้จัก เป็นหลินอิ่งที่แท้จริงเหรอ” จ้าวหลินเอ๋อร์มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “บริษัทของลูกสาวเธอ ในสายตาฉันมันก็แค่บริษัทเล็กๆเท่านั้น ฉันอยากจัดการ ก็สามารถจัดการให้มันแบนราบได้”

“ยังมาพูดอะไรว่าไม่ล้มง่ายๆ? เหอะ ทางที่ดีไปถามลูกสาวเธอหน่อย ว่าฉันจ้าวหลินเอ๋อร์อยู่ในตี้จิงเป็นคนระดับไหน” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างยโส

ดูเหมือนพูดจนพอใจแล้ว จ้าวหลินเอ๋อร์โบกมือ พูดว่า “เห็นแก่หน้าหลินอิ่ง ให้เวลาพวกเธอสองวัน ย้ายออกจากคฤหาสน์นี้”

“อีกอย่าง จางฉีโม่ ฉันจะบอกเธอ เธอก็เจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย ว่าเธอคู่ควรกับหลินอิ่งหรือไม่”

พูดจบ จ้าวหลินเอ๋อร์พอใจแล้ว พาบอดี้การ์ดหญิงสองคน เดินจากไปอย่างใจเย็น

ทิ้งครอบครัวจางฉีโม่ไว้ มองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ดี

“ลูก ที่จ้าวหลินเอ๋อร์พูดมา มันเรื่องอะไรกัน?” ลู่หย่าฮุ่ยมองจางฉีโม่ ถามอย่างสงสัย

จางฉีโม่ตอนแรกก็มีเรื่องเครียดเต็มหัวแล้ว ไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง

ความเป็นมาของหลินอิ่ง เธอรู้ดี แต่พ่อกับแม่ไม่รู้ อธิบายไปก็อธิบายไม่ชัดเจน

“ที่จ้าวหลินเอ๋อร์พูด คือความจริง” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าหดหู่ “ไม่มีหลินอิ่ง ครอบครัวเราไม่มีวันมีวันนี้ได้”

“ลูก ไม่ต้องช่วยไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นหาข้ออ้างอีกแล้ว ไม่มีมันแล้วไง?” ลู่หย่าฮุ่ยฟังไม่เข้าไปแม้แต่น้อย “ก็เพราะมันไอ้ตัวซวย ถึงทำให้เรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้”

“คุณชายตระกูลโจ ยอมช่วยลูกไม่ใช่เหรอ ขอแค่ตระกูลโจยอมช่วย ถึงแม้จ้าวหลินเอ๋อร์จะเป็นมหาเศรษฐีจากตี้จิงอะไรก็ช่าง ก็สู้เจ้าถิ่นอย่างตระกูลโจไม่ได้แน่” ลู่หย่าฮุ่ยออกความคิดเห็นให้ลูกสาว “ลูก เดี๋ยวแม่ไปลองพูดกับตระกูลโจดู”

“ช่างเถอะแม่ บริษัทมาถึงขั้นนี้ หมดหนทางแล้ว” จางฉีโม่พูดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลับเข้าไปในห้องนอน

จากอำนาจของจ้าวหลินเอ๋อร์ จะทำให้บริษัทของเธอล้มละลาย มันง่ายดายมาก

ในใจจางฉีโม่รู้ดี เธอกับจ้าวหลินเอ๋อร์ มันคนละระดับกัน

หลายวันนี้มา เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน คนของสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ออกหน้า บวกกับการปิดกั้นทางธุรกิจ วิธีการต่างๆนานาทางการค้า ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ บริษัทของเธอก็เผชิญหน้ากับการล้มละลาย

ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับการบริหารของจางฉีโม่ แต่เป็นความแตกต่างทางอำนาจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท