ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 470 การเปลี่ยนแปลงที่เมืองชิงหยูน

บทที่ 470 การเปลี่ยนแปลงที่เมืองชิงหยูน

“หมายความว่าอะไร?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแม่ยายลู่หย่าฮุ่ย บ้าคลั่งเรื่องอะไรอีก

“บริษัทของฉีโม่ใกล้ล้มละลายแล้ว? หมายความว่ายังไง?” หลินอิ่งถามต่อ

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคนใจไม้ไส้ระกำอย่างแก แกไม่มีสิทธิ์รู้” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงที่ไม่พอใจของลู่หย่าฮุ่ย “แกไม่ใช่คนของตระกูลจางตั้งนานแล้ว ตอนนี้ แกรีบกลับจากเมืองก่าง มาจัดการเรื่องหย่ากับฉีโม่ จากนั้นก็ไสหัวไป อย่าโผล่หน้ามาให้บ้านเราเห็นอีก”

“บอกผมหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น?” หลินอิ่งถามอย่างเคร่งขรึม รู้สึกถึงความผิดปกติ

“บอกแกอะไร? ถึงจะบอกไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกไปจะมีประโยชน์อะไร?” ลู่หย่าฮุ่ยตะโกนอย่างโมโห “แกนอกจากเกาะลูกสาวบ้านฉันกินแล้ว ยังมีความสามารถอะไรอีก? แกช่วยได้เหรอ?”

“เรื่องนี้ เกิดขึ้นก็เพราะแกเป็นต้นเหตุ เพราะว่าแกหลินอิ่ง แกคงรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ?”

น้ำเสียงของลู่หย่าฮุ่ยไม่พอใจมาก ต่อว่าหลินอิ่งอย่างบ้าคลั่ง

“คุณชายตระกูลโจจะช่วยครอบครัวเราให้ผ่านวิกฤติเอง เขาจริงใจกับฉีโม่ แกมันนี่ไร้น้ำยา ตัวปัญหา รีบออกไปจากครอบครัวเรา”

“คำพูด ฉันก็พูดไว้ตรงนี้แล้ว ถ้าแกไม่ยอมมาจัดการเรื่องหย่า ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าพวกเราประกาศต่อภายนอกแล้ว แกหลินอิ่งได้ไสหัวออกจากตระกูลเราแล้ว รอแค่เวลาฉีโม่แต่งงาน”

พูดจบ ลู่หย่าฮุ่ยก็วางสาย

“ประธานหลิน ท่านมีธุระอะไรต้องยุ่งไหมครับ?” ฉู่สงซานสังเกตเห็น จึงพูดอย่างจริงจัง

“ถ้ามีธุระประธานหลินไปยุ่งก่อนเลยครับ มีเรื่องอะไร ก็โทรสั่งผมได้ทางโทรศัพท์”

หลินอิ่งพยักหน้า “ประธานฉู่ ผมไม่อยู่ต่อแล้ว ยังมีเรื่องต้องทำ”

พูดไป หลินอิ่งก็ลุกขึ้น ฉู่สงซานก็ลุกขึ้นส่งหลินอิ่งไปถึงนอกอาคาร

ฮาเดสรีบไปเอารถมา แล้วลงมาเปิดประตู

หลินอิ่งขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาเย็นชา เขายิ่งฟังยิ่งรู้สึกมีปัญหา

คำพูดของลู่หย่าฮุ่ย มีข้อมูลมากมาย

เรื่องวุ่นวายมากมาย อะไรฉีโม่จะแต่งงานแล้ว?

บริษัทล้มละลาย?

ให้เขากลับไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อย?

นี่มันอะไรกับอะไรเนี่ย?

คิดไปแล้วหลินอิ่งก็หยิบมือถือออกมาโทรหาจางฉีโม่

หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้

เบอร์ฉีโม่โทรไม่ติด?

นี่คือ ตั้งค่าไว้?

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

แล้วเขาก็โทรหาเจียงฉีกับเสิ่นซานที่เมืองชิงหยูน

โทรศัพท์ของเจียงฉีกับเสิ่นซานก็โทรไม่ติด

นี่มันแปลกเกินไปแล้ว

“เมืองชิงหยูน เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกันเนี่ย?” หลินอิ่งบ่นพึมพำเอง แววตายิ่งอยู่ยิ่งคม มีแววความเย็นชาที่น่ากลัว

ลู่หย่าฮุ่ยโทรมาพูดอะไรที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง

เบอร์โทรฉีโม่โทรไม่ติด

เสิ่นซานกับเจียงฉีสองคนนี้ ก็ขาดกันติดต่อไปพร้อมกัน?

นี่มันเจาะจงเขาโดยเฉพาะ

ช่วงก่อน เขาเพิ่งคุยโทรศัพท์กับฉีโม่ ทำไมถึงได้ติดต่อไม่ได้กะทันหัน?

ช่วงที่เขาทำธุระอยู่เมืองก่าง เมืองชิงหยูนเกิดอะไรขึ้น?

หลินอิ่งสีหน้าเคร่งขรึม โทรศัพท์ให้คริส

“คริส จองตั๋วเครื่องบินให้ผมคืนนี้ ผมจะกลับตุงไห่คืนนี้”

“ประธานหลิน ท่านจะกลับตุงไห่?” น้ำเสียงของคริสตะลึงเล็กน้อย “ครับ ผมจะรีบไปจัดการ”

“แล้วคุณอยู่เมืองก่างต่อ จัดการเรื่องทั้งหมดของหลินซื่อในเมืองก่างให้เรียบร้อย”

“ถ้าบริษัทมีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ โทรหาผม”

“ครับ ผมจะบริหารกิจการในเมืองก่างให้เรียบร้อยครับ” คริสพูดอย่างเคารพ

…….

เวลาเดียวกัน

วิลล่าหิมะมังกร ภายในคฤหาสน์หรู

จางฉีโม่นั่งอยู่ในห้องนอนตัวเอง ก้มหน้าแววตาหมองหม่น จับมือถือไว้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

บนหน้าจอมือถือ แสดงเบอร์ที่ไม่ได้รับสายของหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง ทำไมเพิ่งโทรหาฉันตอนนี้? เว้นระยะเวลานานขนาดนี้ เขาไปทำอะไรที่เมืองก่าง?” จางฉีโม่กัดริมฝีปากบ่นพึมพำเอง สายตาไม่พอใจ

เธอดูแล้วเหมือนเหนื่อยมาก บนใบหน้าที่สวยงาม ดวงตาอันสดใสนั้นเพิ่มเติมคือความอ่อนล้า

ช่วงนี้จางฉีโม่รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี

ครั้งที่แล้ว จ้าวหลินเอ๋อร์มาหาถึงบ้าน เขาโทรหาหลินอิ่งหลายครั้ง ปรากฏว่าทางหลินอิ่งกลับโทรไม่ติดเลย

เธอรู้สึกโกรธ ก็เลยไม่อยากหาหลินอิ่งอีก

เวลานี้ ไม่รู้หลินอิ่งโทรมาทำไม

“จ้าวหลินเอ๋อร์ให้คนส่งรูปถ่ายมาให้ฉัน มันคือความจริงไหม หลินอิ่ง คุณ คุณเป็นคนเจ้าชู้ชอบเที่ยวแบบนี้เหรอ?” จางฉีโม่กัดริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจ

เขาหยิบรูปถ่ายออกมาหนึ่งใบจากลิ้นชัก ภายในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหรา หญิงสาวผมทองหน้าตาดีคนหนึ่ง นั่งอยู่ในอ้อมกอดของหลินอิ่ง กอดคอเขาไว้

ยังมีรูปถ่ายอีกใบ ก็คือรูปที่หลินอิ่งกับสาวผมทองคนนั้น เดินเข้าห้องสูทหรูด้วยกันสองคน

ความสัมพันธ์ของรูปถ่ายสองใบรวมกัน ทำให้จางฉีโม่บ้าคลั่ง โมโหอย่างมาก

ถึงแม้จะไม่เห็นสีหน้าของหลินอิ่ง แต่ว่า ท่าทางให้ความร่วมมือของเขาขนาดนี้ ต้องนอกใจแล้วจริงๆ

จางฉีโม่ยิ่งคิดยิ่งโมโห รู้สึกมึนไปหมด

อีกอย่าง รูปถ่ายใบนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์ผู้หญิงบ้าคนนั้นส่งมาให้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้สำหรับเธอแล้ว เป็นการเหยียดหยามอย่างมหาศาล

เรื่องของจ้าวหลินเอ๋อร์ จางฉีโม่เลือกที่จะเชื่อหลินอิ่ง

แต่สาวผมทองคนนี้ หลักฐานมัดตัว

ในใจจางฉีโม่ รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อใจหลินอิ่งอีกแล้ว

ในใจของเธอทั้งเจ็บทั้งอึดอัด

“หลินอิ่ง คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่? ฉันเชื่อใจคุณมาตลอด หรือว่าสิ่งที่คุณทำต่อหน้าฉัน ล้วนเป็นการแสดงทั้งนั้น?” จางฉีโม่พูดพึมพำเอง “หรือว่า หลังจากที่คุณกลับไปตี้จิงแล้ว หาฐานะของคุณกลับมา เพราะฉะนั้น คุณเปลี่ยนไปแล้ว?”

จางฉีโม่คิดฟุ้งซ่านเอง คาดเดาสิ่งที่เป็นไปได้

“ลูก กินข้าวแล้ว อย่าอยู่แต่ในห้อง อย่าไปเสียใจเพราะไอ้คนไม่มีจิตใจ ไอ้ไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งอีกเลย มันไม่คุ้มค่า”

“ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่น มันไม่คู่ควรที่จะทำให้ลูกไปโกรธ โยนมันทิ้งไปเลย”

นอกห้องเป็นเสียงของลู่หย่าฮุ่ย

จางฉีโม่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง พูดว่า “หนูรู้แล้วค่ะ เดี๋ยวหนูออกไปกินข้าว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท