ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 482 คางคกขึ้นวอ

บทที่ 482 คางคกขึ้นวอ

“พี่ นี่?” จ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ยอม มองดูจ้าวเฉิงเฉียนด้วยท่าทางน่าสงสาร

“ไม่ต้องพูดแล้ว คุณปู่เรียกตัวแล้ว ให้พี่ต้องพาเธอกลับตระกูลจ้าวให้ได้” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเคร่งขรึม

จ้าวเฉิงเฉียนรู้ตัวว่าควบคุมน้องสาวที่ถูกความรักทำให้เลอะเลือนคนนี้ เอือมระอาจนต้องรายงานกับนายท่านของตระกูล

เพราะเหตุนี้ จ้าวเฉิงเฉียนยังเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาพบเจอในเมืองก่างให้นายท่านจ้าวฟัง

พูดอย่างละเอียดถึงความสามารถอันแข็งแกร่งของหลินอิ่งคนนี้

นายท่านจ้าวฟังจบแล้ว ออกคำสั่งเด็ดขาด ต้องพาจ้าวหลินเอ๋อร์กลับตี้จิงให้ได้ ให้เธอไปสร้างความวุ่นวายอีกไม่ได้ ยั่วโมโหหลินอิ่ง

แม้แต่นายท่านจ้าว ยังมีความเกรงกลัวต่อหลินอิ่ง

“เฮ้อ” จ้าวหลินอ๋อร์ทำเสียงไม่พอใจ ขึงตาใส่หลินอิ่ง “หลินอิ่ง ถ้าคุณไม่ไปหาฉันที่ตระกูลจ้าว ฉันจะกลับไปฟ้องนายท่านฉีที่ตี้จิง”

จ้าวเฉิงเฉียนเหงื่อแตก รีบดึงตัวจ้าวหลินเอ๋อร์ไป

“หลินอิ่ง นายท่านจ้าวก็มีคำพูดให้คุณ รอคุณกลับตี้จิงเมื่อไหร่ หวังว่าคุณจะไปที่ตระกูลจ้าวสักครั้ง นายท่านรอคุณอยู่”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

จากนั้น จ้าวเฉิงเฉียนก็รีบพาคนออกไป

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย สายตาค่อยๆเฉียบคมขึ้น

“ฉินฝู้กุ้ย ไปพาเสิ่นซานกับเจียงฉีมา”

“ครับ” ฉินฝู้กุ้ยพยักหน้า พาลูกน้องเดินออกจากออฟฟิศ

ยี่สิบนาทีผ่านไป

เจียงฉีกับเสิ่นซานมาถึงออฟฟิศ ทั้งสองมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าคลุมเครือ

“ท่านหลิน กลับมาแล้วเหรอครับ”

“ประธานหลิน ผม…..”

เจียงฉีสองคนยืนอย่างกระสับกระส่าย อยู่หน้าโต๊ะทำงาน มีความรู้สึกไม่กล้าเผชิญหน้า

พวกเขาสองคน ถูกจ้าวหลินเอ๋อร์จับตัวโดยไม่นองเลือด

ระหว่างทางมาฟังฉินฝู้กุ้ยพูด จ้าวหลินเอ๋อร์ฉวยโอกาสที่หลินอิ่งไม่อยู่ สร้างความวุ่นวายในเมืองชิงหยูน ใช้กิจการที่พวกเขาสองคนช่วยประธานหลินดูแล ไปกีดกันคุณนายหลิน?

ตอนนี้ ไม่รู้ว่าประธานหลินจะโมโหร้ายหรือไม่

“พอแล้ว คุณสองคนไม่เป็นไรก็พอ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “เรื่องนี้ผมไม่โทษคุณสองคน คนระดับจ้าวเฉิงเฉียน พวกคุณสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”

หลินอิ่งรู้ดี จากความสามารถของเสิ่นซานและเจียงฉี ยังสู้กับคนโหดระดับจ้าวเฉิงเฉียนที่มาจากแวดวงลึกลับไม่ได้

“ผมเรียกพวกคุณมา ก็เพื่อดูว่าพวกคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “อีกอย่าง ผมมีเรื่องจะสั่งให้พวกคุณไปจัดการ”

“ไห่หยางกรุ๊ป แล้วก็ลาตินกรุ๊ปเมืองชิงหยูน พวกคุณรีบไปจัดการให้เรียบร้อย ทำให้กิจการทุกอย่างกลับมาดำเนินการปกติ”

“แล้วก็ ทำให้กิจการทุกอย่างของบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อกลับมาปกติทุกอย่าง”

เจียงฉีกับเสิ่นซานฟังคำสั่งอย่างตั้งใจ พูดอย่างจริงจัง “รับทราบคำสั่งประธานหลินครับ พวกเรากลับไปแล้วจะรีบจัดการให้เรียบร้อย”

หลินอิ่งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก

……..

วัยที่สอง

บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ อาคารฉีซื่อ

รถเบนท์ลี่ย์สีดำขับมาจอดหน้าอาคาร หลิวจุนเปิดประตูรถอย่างถนัด

หลินอิ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างกระฉับกระเฉง ลงจากรถ เดินเข้าอาคารด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ที่นี่อาคารสำนักงานของบริษัท หลังจากที่ฉีโม่ขยายบริษัทเติบโตขึ้น

ฉีโม่ไม่ยอมพบเขา

เขา ก็ต้องมาดูที่บริษัทก่อน ว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง

ก่อนหน้านี้ก็รู้แล้วว่า จ้าวหลินเอ๋อร์สร้างความโกลาหลที่เมืองชิงหยูน

แต่ว่า ไม่รู้ว่าผู้หญิงบ้าคนนี้ทิ้งแผนการอะไรไว้หรือไม่

เพราะว่า จากผลกระทบของจ้าวหลินเอ๋อร์ แค่คำสั่งเดียว ก็ทำให้เมืองชิงหยูนสะเทือนได้ทั้งเมือง

จ้าวหลินเอ๋อร์ออกหน้าเอง ใช้อำนาจจ่อจงบริษัทของฉีโม่

พวกฝูงนกฝูงกาทั้งหลาย ไม่รู้ว่าจะผีซ้ำด้ำพลอยหรือเปล่า โดยเฉพาะคนตระกูลจาง ยิ่งหวังร้ายกับฉีโม่อยู่

หลินอิ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ของอาคารฉีซื่อ มาถึงห้องทำงานผู้บริหารระดับสูง

ภายในห้องทำงาน มีกลุ่มคนในชุดสูทอยู่กลุ่มใหญ่ กำลังจัดการเอกสารอยู่

เห็นหลินอิ่งเดินเข้ามา คนในเหตุการณ์ต่างก็หันมามองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“ทุกคน ผมขอถามหน่อย ประธานจาง วันนี้เข้ามาบริษัทไหม” หลินอิ่งมองไปที่ทุกคน ถามด้วยเสียงเรียบ

“คุณหาประธานจางคนไหน?” ชายหนุ่มชุดสูทคนหนึ่งถามอย่างสงสัย “แล้วคุณเป็นใคร?”

“หาประธานจางคนไหน?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว “หรือว่า ในบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อมีประธานจางหลายคน?”

“แน่นอน มีประธานจางสองคน รองประธานบริหารจางหงจูนคนหนึ่ง รองประธานจางหงซวนอีกคน” ชายหนุ่มชุดสูทพูด “คุณจะหาคนไหน? นัดล่วงหน้าหรือเปล่า?”

ได้ยินแล้ว สีหน้าหลินอิ่งก็เคร่งขรึมลง

บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อที่ตัวเองสร้างขึ้นเพื่อให้ฉีโม่

ตอนนี้ คนในบริษัท กลับรู้จักแค่จางหงซวนกับจางหงจูน ไม่รู้จักฉีโม่แล้ว?

“ออ ฉันจำได้แล้ว คนนี้มันหลินอิ่งลูกเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลจางผู้มีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ? แขกพิเศษจริงๆ”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมา

“นายคงไม่ได้มาหาจางฉีโม่หรอกนะ? เหอะเหอะ น่าเสียดาย เมียนายจางฉีโม่ ไม่ใช่ประธานบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อแล้ว เธอโดนปลดตำแหน่งแล้ว”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง? โอ้โห ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นายอยากเกาะผู้หญิงกิน เกรงว่าจะมาผิดที่แล้วนะ”

เวลาเดียวกันนั้น น้ำเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น

จางเถียนไห่ใส่ชุดสูทลวดลายสีฉูดฉาด สวมแว่นกันแดดเดินเข้ามาก มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหยอกล้อ สีหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ

“จางเถียนไห่? ใครให้นายเข้ามาในอาคารนี้?” หลินอิ่งถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“นายคงยังแยกแยะสถานการณ์ไม่ถูกซินะ?” จางเถียนไห่แกว่งแขน พูดด้วยสีหน้าได้ใจ “บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อล้มละลายแล้ว โจผิงคุณชายสามแห่งตระกูลโจรับซื้อไว้ ตระกูลเราก็มีหุ้นส่วนด้วย”

“ฉันต่างหากที่ต้องสงสัย นายมีสิทธิ์อะไรเข้ามาในอาคารนี้?” จางเถียนไห่ถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท “หลินอิ่งเอ้ย หลินอิ่ง นายนี่มันยังขี้ขลาดเหมือนหนูไม่เปลี่ยน ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ก็หลบหนี รู้แต่หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง”

“ครั้งนี้ แม้แต่บริษัทเมียนายก็ถูกรับซื้อไปแล้ว ไอ้แมงดาอย่างนาย จะไปมีความสามารถอะไรได้?”

จางเถียนไห่พูดเยาะเย้ยไม่หยุด ท่าทางเหมือนคางคกขึ้นวอ

“เห้อ ลืมบอกนายไป” จางเถียนไห่ตบหัว ท่าทางเสแสร้ง “ได้ข่าวว่า เมียนายหย่ากับนายแล้วใช่ไหม? อีกอย่าง จางฉีโม่ น้องสาวฉัน จะแต่งเข้าตระกูลมหาเศรษฐีอย่างตระกูลโจ ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนไร้น้ำยาอย่างนายไปแล้ว”

“ตอนนี้ หลินอิ่งไอ้ไร้น้ำยาอย่างนาย ฉันจะคอยดูว่า ในเมืองชิงหยูนนี้ยังมีใครคุ้มหัวนายได้อีก ยังมีใครช่วยนายได้ วันนี้เจอกันแล้ว ฉันไม่สั่งสอนนายดีๆได้ยังไง?” จางเถียนไห่หัวเราะพูดอย่างชั่วร้าย จับหมัดสะบัดมือไปด้วย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท