ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 500 คุณยังกล้าอวดดีเหมือนเมื่อก่อนไหม?

บทที่ 500 คุณยังกล้าอวดดีเหมือนเมื่อก่อนไหม?

“รักษาได้ แต่ว่า รักษายาก” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“รักษายาก? คุณชาย จากอำนาจของท่านทุกวันนี้ สามารถใช้การรักษาที่ดีสุดในประเทศหลุงได้ หรือว่าก็รักษาให้หายไม่ได้?” หลี่ผูถามอย่างสงสัย

หลินอิ่งพูด “นายท่านได้รับพิษที่หายาก”

“พิษชนิดนี้ ใช้งูทะเลที่หายากชนิดหนึ่ง ผสมกับยาหลายชนิดผลิตออกมา” หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “สาเหตุที่รักษายาก พิษชนิดนี้ต้องใช้ส่วนผสมของยาพิเศษ ในมือผมไม่มี อีกอย่างหนึ่ง ยาพิษนี้ออกฤทธิ์ช้ามาก ฝืนถอนพิษ ร่างกายของนายท่านทนรับไม่ไหว”

พิษในร่างกายนายท่าน โชคดีที่หลินอิ่งเคยเห็นมาก่อน

ตำราแพทย์ที่สืบทอดของแก๊งมังกร เขาเคยศึกษาแล้ว สมัยเด็กก็เคยศึกษาวิเคราะห์วิธีการแก้พิษหายากทุกอย่างมาแล้ว

คนวางยา ต้องเป็นคนอุบายเจ้าเล่ห์อย่างแน่นอน

ถ้าหากนายท่านได้รับยาพิษในวัยที่แข็งแรง เขายังสามารถใช้เสวียนเหมินสิบสองเข็มถอนพิษ ทุกวันนี้ นายท่านอายุมากแล้ว ร่างกายรับไม่ไหวแล้ว ถึงเขามีวิธีฝังเข็มอันเก่งกาจ ก็ไม่สามารถใช้ได้

อีกอย่างพิษงูทะเลออกฤทธิ์ช้า ไม่ได้ถึงแก่ชีวิตทันที

คนวางยาพิษ เห็นได้ชัดว่าต้องการชีวิตนายท่าน นี่ต้องการใช้ชีวิตของนายท่าน เพื่อจะมาท้าทายกับเขา แต่ไม่รู้ว่า เขาต้องการเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ตัวเองเพื่ออะไร

“อะไร? ยาพิษ?” หลี่ผูตกใจมาก สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที “คุณชาย นี่ นี่มัน……”

“นายท่านเปิดเผยซื่อตรงตลอดชีวิต ไม่เคยทำไม่ดีต่อใคร ใครกันที่ลงมือโหดเหี้ยม ลงมือกับนายท่านได้?” หลี่ผูพูดอย่างตื่นเต้น รู้สึกถึงความหนักของสถานการณ์

“คู่อริของผมเอง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“คุณชาย…..ท่าน ท่านต้องควบคุมสถานการณ์ให้อยู่นะครับ” หลี่ผูพูดอย่างเป็นห่วง ไม่ได้ถามอะไรมากกว่านี้

เพราะว่า ความสามารถของคุณชาย ถึงขั้นที่เขาเองก็คาดการไม่ได้แล้ว

คู่อริของคุณชายเป็นใคร ถึงเขารู้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยคุณชายอธิษฐาน

หลินอิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เดินออกจากห้อง หยิบมือถือรหัสลับออกมาโทรออก

“ฮัลโหล ผู้อาวุโส ท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งครับ” ทางโทรศัพท์ เป็นเสียงของนิ่งซวนอย่างเคารพ

“เรื่องที่ท่านให้ผมสืบครั้งที่แล้ว ผมยังไม่สามารถได้รับข้อมูล เรื่องของนายท่านค่อนข้างลึกลับ”

“ผมเข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องไปสืบเรื่องนี้แล้ว” หลินอิ่งพูด “ตอนนี้คุณใช้ทุกวิถีทางในตระกูลนิ่ง ช่วยผมหายาชนิดหนึ่ง ดอกโคม พอมีข่าวก็แจ้งผมทันที ถ้าหากมีในท้องตลาด ต้องเอามาให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด”

“ดอกโคม? ครับ” นิ่งซวนพูดอย่างเคารพ

หลินอิ่งวางสาย ขมวดคิ้วแน่น

เขารู้ว่าพิษงูทะเลที่นายท่านได้รับนั้นต้องแก้พิษยังไง รู้สูตรยา แต่ว่า ขาดวัตถุดิบยา

ดอกโคม นี่คือสิ่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ในการแพทย์ทางโลก

ของสิ่งนี้ มีเพียงคนในแวดวงลึกลับเท่านั้นที่รู้ และเป็นสมบัติหายาก ยาที่หายากมาก สิ่งที่ใช้เงินก็อาจจะซื้อไม่ได้

เพราะว่า นี่คือพืชพันธุ์หายากที่สูญหายไปจากประเทศหลุงไปหลายร้อยปีแล้ว มีเพียงตระกูลในแวดวงลึกลับที่ใช้วิธีพิเศษทำเป็นยาอบแห้ง ถึงรักษาไว้ได้

“หัวหน้าหลิน มีคนมาเยี่ยมนายท่านฉี ท่านจะพบหรือไม่?”

เวลาเดียวกัน หัวหน้าได้รับรายงานจากยามรักษาการณ์ มารายงานกับหลินอิ่ง

“ใคร?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบ

“ยามรายงานว่า เป็นคนของตระกูลสวี บอกว่าเป็นตัวแทนของนายท่านสวีจิ่วหลิง มาเยี่ยมนายท่านฉี” หัวหน้ารายงาน

“คนของตระกูลสวี?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาเย็นชา

“ลงไปพบเขาพร้อมผม”

หลินอิ่งสายตาเย็นชา พาหัวหน้ากับหลี่ผูลงไป

นอกสถานพยาบาล บอดี้การ์ดสองนายเข็นรถเข็นคันหนึ่ง บนรถเข็นเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชา

ด้านหลังเขา ยังมีชายวัยกลางคนที่บุคลิกไม่ธรรมดา พาชายหนุ่มชุดสูทมาด้วยหลายคน ในมือถือกล่องของขวัญราคาแพง

“คุณชายอิ่ง เป็นยังไงบ้าง” ชายวัยกลางคนเห็นหลินอิ่งลงมา ก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

“คุณ?”

หลินอิ่งกวาดตามองไป สังเกตดูชายวัยกลางคนบนรถเข็น

“สวีถันโจวตระกูลสวี? แล้วก็สวีฉางเฟิง? คุณสองคนมาที่นี่ทำไม?” หลินอิ่งมองสวีถันโจวอย่างเย็นชา

คนที่นั่งบนรถเข็นคือสวีถันโจว คนที่ยืนอยู่ข้างๆคือสวีฉางเฟิง ทั้งสองเป็นผู้คุมอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลสวี

สวีถันโจว หลินอิ่งต้องไม่ลืมแน่นอน ครั้นนั้นที่หอตี้เจียง ก่อนจะบังคับให้สวีไป๋เห้อคุกเข่า ก็หักขาเขาไปหนึ่งข้าง

ส่วนสวีฉางเฟิง ก็คือพ่อของคุณชายทั้งสี่แห่งตี้จิงสวีชิงซง เป็นพี่น้องสาบานของเหยียนหลง

“เหอะเหอะเหอะ คุณชายอิ่ง ใจเย็นๆ ตระกูลสวีของเรากับตระกูลฉีก็เป็นเพื่อนกันมานาน นายท่านกับนายท่านฉีก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง” สวีถันโจวนั่งบนรถเข็น พูดอย่างประหลาด “นายท่านฉีป่วยหนัก ผมมาเยี่ยม และเอายามีค่ามาให้ เพื่อแสดงน้ำใจเล็กน้อย”

“ใช่แล้ว คุณชายอิ่ง ถึงแม้ว่าคุณจะไม่รู้ระเบียบ ไม่ได้เห็นแต่ความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลสวี ทำลายธุรกิจของตระกูลสวีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่า ตระกูลสวีของเราไม่ใช่ตระกูลที่ไม่รู้จักบุญคุณ นายท่านฉีป่วย นายท่านของตระกูลเราก็รีบหายามีค่าในตระกูลออกมา ให้พวกเราเอามาให้โดยเฉพาะ” สวีฉางเฟิงก็พูดจาสำเนียงประหลาด แววตานั้นมีความได้ใจที่ไม่อาจปิดบังได้

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “นายท่านแค่เป็นหวัดธรรมดาเท่านั้น นายท่านสวีจิ่วหลิงไม่ต้องเป็นห่วง”

อาการป่วยของนายท่านถูกปิดตั้งแต่แรกแล้ว ตระกูลสวีไม่เพียงแค่รู้ข่าว ยังเอายามาให้โดยเฉพาะ?

ตอนแรก หลินอิ่งก็สงสัยว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลสวีแน่นอน

วันนี้ดูแล้ว คนตระกูลสวีสองคนนี้ที่เคยถูกเขาเหยียดหยามมาก่อน ยังมาท้าทายถึงที่โดยเฉพาะ

“เห้อ คุณชายอิ่ง ตระกูลฉีกับตระกูลสวีเป็นความสัมพันธ์อะไรกัน? เรื่องแบบนี้ยังจะปิดบังพวกเราทำไม? พวกเรารู้แล้ว ชีวิตนายท่านฉีเวิ่นติ่งกำลังแย่ ใกล้ตายแล้ว” สวีถันโจวพูดด้วยสีหน้าได้อย่าง

“ลองพูดอีกครั้ง? ไอ้แซ่สวี มารนหาที่ตายใช่ไหม?” หัวหน้ามองสวีถันโจวด้วยสายตาเย็นชา ด่าด้วยความโมโห

แววตาหลินอิ่งค่อยๆคมลึกขึ้น มองไปที่สวีถันโจว

“คุณชายอิ่ง เป็นอะไร? นี่คุณกำลังจะโมโหเหรอ? อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะทำผมให้ตาย?” สวีถันโจวพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “คุณกล้าเอาผมให้ตายไหม? คุณยังกล้าอวดดีเหมือนแต่ก่อนไหม?”

“หัวหน้าหลิน ท่านพูดแค่คำเดียว ผมตัดลิ้นมันส่งออกไปเดี๋ยวนี้” หัวหน้าโมโหจนทนไม่ไหว พูดขอคำแนะนำ

สวีถันโจวท่าทางยโส ไม่มีคนอื่นในสายตา อวดดีเกินไป

“โอ้โห? ยังจะตัดสิ้นผม ลองถามคุณชายอิ่งของคุณดู ว่าเขากล้าทำอะไรฉันไหม?” สวีถันโจวพูดอย่างเห็นชา ท่าทางอย่างกับคางคกขึ้นวอ “คุณถามเขาดู ว่าอยากให้ฉีเวิ่นติ่งตายไหม?”

“สวีถันโจว หมายความว่ายังไง?” หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองสวีถันโจวแล้วถาม

“คุณชายอิ่ง ผมมาเพื่อเยี่ยมนายท่านฉี เวลาเดียวกัน ก็ช่วยคนอื่นเอาคำพูดมาบอก” สวีถันโจวพูดอยากตลก “ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เขามียาแก้พิษช่วยชีวิตนายท่านฉี”

“ตระกูลสวีของเราก็สามารถช่วยคุณเอายาแก้พิษได้ แต่ว่า คุณต้องแสดงความจริงใจมาก่อน”

“มามามา มาคุกเข่าคำนับต่อหน้าผมก่อน ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาก่อน” สวีถันโจวพูดด้วยสีหน้าได้ใจอย่างที่สุด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท