ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 501 พวกคุณกำลังข่มขู่ผม?

บทที่ 501 พวกคุณกำลังข่มขู่ผม?

“ไอ้แซ่สวี แกพูดอะไร? แกบ้าไปแล้วใช่ไหม?” หัวหน้าสีหน้าโมโห ขึงตาใส่สวีถันโจวที่นั่งอยู่บนรถเข็น

กล้าบอกให้หัวหน้าหลินคุกเข่าต่อหน้า?

กินใจยักษ์เข้าไปหรือไงถึงได้กล้าขนาดนี้?

สายตาหลินอิ่งเย็นชา จ้องอยู่ที่สวีถันโจว

“ตระกูลสวีของพวกคุณ นี่คือเข้ามาข่มขู่ผมถึงที่ อย่างโจ่งแจ้งเหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “ใครสนับสนุนตระกูลสวีอยู่ข้างหลัง?”

หลินอิ่งสามารถแน่ใจได้ ลำพังอำนาจของตระกูลสวีฝั่งเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะกล้าท้าทายเขาแบบนี้ ยิ่งไม่กล้าลงมือกับคุณปู่

เบื้องหลังตระกูลสวี ต้องมีคนคอยสนับสนุนแน่นอน ให้ความมั่นใจพวกเขาเพียงพอ

“เหอะเหอะ เป็นใครสำคัญมากเหรอ?” สวีถันโจวพูดอย่างได้ใจ “ผมรู้แค่ว่า คุณท่านตระกูลคุณชะตาใกล้ถึงแล้ว ถ้าหากไม่อยากให้ปู่คุณตาย ก็รีบคุกเข่าให้ผมเดี๋ยวนี้”

“ถ้าหากคุณไม่ยอม ผมรับรอง ปู่คุณมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวันแน่นอน” สวีถันโจวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพื่อนของผมบอกว่า จากความสามารถของคุณสามารถรู้ได้ว่าปู่ของคุณโดนยาพิษอะไร ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ พิษชนิดนี้มีเพียงคนทำเท่านั้นที่มียาถอนพิษ”

“ได้ยินว่าความรู้ทางการแพทย์ของคุณเหนือคน ไม่ธรรมดา แต่ว่าครั้งนี้ คุณก็ไม่กล้ารักษาให้ปู่ของคนใช่ไหม? ร่างกายของคุณท่านรับไม่ไหวนะ” สวีถันโจวท่าทางเหมือนควบคุมสถานการณ์ทุกอย่าง พูดอย่างยโส

ใช่แล้ว เขาคิดว่าตัวเองจับจุดอ่อนของหลินอิ่งอยู่แล้ว

พิษที่ฉีเวิ่นติ่งได้รับ นั่นเป็นยาที่คุณกงผู้ลึกลับคนนั้นเป็นคนทำขึ้นมาเอง ไร้ยารักษา

เขาไม่เชื่อ ว่าหลินอิ่งจะไม่ห่วงความตายของคุณปู่ มาปะทะกับเขา

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “ที่แท้นี่ก็คือความมั่นใจของคุณ เอาชีวิตคุณท่านมาข่มขู่ผม?”

“ไม่อย่างนั้นล่ะ? ผมเอาชีวิตของคุณท่านข่มขู่คุณ คุณจะทำอะไรได้?” สวีถันโจวพูดอย่างคางคกขึ้นวอ “คุณต้องคิดให้ดี ว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนควบคุมสถานการณ์?”

“คุณชายอิ่ง คุณยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกใช่ไหม? คุณคิดว่าในตี้จิงแห่งนี้ คุณอยู่เหนือทุกคน ไม่มีใครทำอะไรคุณได้แล้วเหรอ? ผมบอกคุณได้เลย เรื่องปู่คุณ เป็นแค่การเตือนเท่านั้น คุณกล้าอวดดีอีก คุณก็ต้องตายเช่นกัน” สวีถันโจวพูดอย่างเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความยโสโอหัง

หลินอิ่มมุมปากโค้งขึ้นอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม

“หลินอิ่ง ท่าทางของคุณนี่คือ อยากขอร้องผมหรือขู่ผมกันแน่?” สวีถันโจวพูดด้วยท่าทางกวนประสาท “ดูท่าแล้วเหมือนคุณจะไม่พอใจมากนะ ไม่ยอมคุกเข่าใช่ไหม? ก็ถูก คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงทั้งคน ทำไมถึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากขนาดนี้ล่ะ?”

“ฮาฮาฮาฮาฮา หลินอิ่ง ดูให้ชัดเจนนะ มีคนให้ผมเอาจดหมายมาให้คุณ” สวีถันโจวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พูดด้วยสีหน้าได้ใจ

พูดจบ เขาโบกมือ ทันใดนั้น บอดี้การ์ดข้างกายก็ยื่นจดหมายมาให้ฉบับหนึ่ง

หลินอิ่งสะบัดมือ รับจดหมายมา

เปิดจดหมายออก ด้านในเป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือยุ่งเหยิง

“คุณหลินอิ่งรับ บางทีคุณอาจจะรู้ฐานะของผมแล้ว ผมคือกงจิ่ว ครั้งที่แล้วที่ตระกูลนิ่ง ผมกับคุณ เคยเจอกันแล้ว”

“พิษในร่างปู่คุณ ฉีเวิ่นติ่งผมเป็นคนวางยาเอง ผมมียาแก้พิษ ถ้าหากคุณอยากได้ยาแก้พิษ ก็ทำตามเรื่องพวกนี้”

“สละอำนาจและธุรกิจทั้งหมดในตี้จิง พาลูกน้องทั้งหมดของคุณ ออกจากตี้จิงตลอดไป”

“จากการคำนวณของผม พิษในร่างกายของปู่คุณจะกำเริบในอีกสามวัน ตายอย่างศพไม่ครบถ้วน ถ้าอยากได้ยาพิษ จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นให้คนตระกูลสวีนัดกับผม ถ้าหากดื้อรั้น คนที่ตาย จะไม่ใช่แค่ปู่คุณคนเดียว”

อ่านข้อความในจดหมายจนจบทั้งหมด หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

ปรากฏว่า คือกงจิ่วผู้ลึกลับจากต้าเหอจริง

มีเพียงกงจิ่วเท่านั้น ที่มีความคิดและแผนการรอบคอบแบบนี้

นี่คือการเปิดเผยแผนการแล้ว

ให้เขาสละทุกสิ่งทุกอย่างในตี้จิง ทำลายรากฐานเองทุกอย่าง แล้วไปขอร้องเอายาถอนพิษกับเขา?

“ว่ายังไง? หลินอิ่ง ดูชัดเจนแล้วใช่ไหม? ถ้าหากยังอยากขัดขืนต่อสู้อีก ไม่เพียงแค่ปู่ของนายต้องตาย นายก็หนีไม่รอด ตี้จิง ไม่ใช่ดินแดนที่นายจะได้ครอบครองเพียงคนเดียว” สวีฉางเฟิงพูดและหัวเราะอย่างเย็นชา

“คุณชายอิ่ง คุณยังลังเลพิจารณาอะไร? คุกเข่ายอมรับผิดกับผมตอนนี้ ผมจะช่วยคุณไปขอร้องกับคุณกงแทนคุณ คุณไสหัวออกไปจากตี้จิง อยากจากถอนตัวออกไปได้อย่างสง่า” สวีถันโจวสีหน้าดุร้าย แววตาเต็มไปด้วยความได้ใจ

เขารอวันนี้มานานแล้ว เพื่ออยากจะดูหลินอิ่งคุกเข่าคำนับต่อหน้าเขา

ตั้งแต่ถูกหลินอิ่งทำลายขาจนต้องนั่งรถเข็น จากคนมีอำนาจในตี้จิงกลายเป็นคนพิการ ทำลายสภาพจิตใจของขา สติและจิตใจย่ำแย่ไปหมดแล้ว

มีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือแก้แค้นหลินอิ่ง

ส่วนสวีฉางเฟิงที่อยู่ด้านข้าง มุมปากก็ยิ้มอย่างเย็นชา

หลินอิ่งทำลูกชายเขาพิการไม่ว่า ยังทำให้เขาอับอายขายหน้าในตระกูลสวี อำนาจเสื่อม ครั้งนี้ ได้เจอโอกาสที่หลินอิ่งลำบากแล้ว

“พวกคุณกำลังข่มขู่ผม?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ยื่นมือฉีกจดหมายจนละเอียด

“จัดการพวกเขาพิการทุกคน แล้วส่งกลับตระกูลสวี”

หลินอิ่งพูดด้วยความเย็นชา

ทันใดนั้น สวีถันโจวและสวีฉางเฟิงต่างก็สีหน้าตกใจ แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ

พวกเขายังไงก็คิดไม่ถึง ทำไมหลินอิ่งบอกหักหน้าก็หักหน้าแบบนี้ นี่คือจะแตกหักกันแล้วใช่ไหม?

หรือว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของฉีเวิ่นติ่งเลยใช่ไหม?

หัวหน้าเมื่อได้รับคำสั่งจากหลินอิ่งแล้ว ก็หมุนคอไปมา เดินไปหาทั้งสองคนด้วยความโหดเหี้ยม

เขาไม่พอใจกับสวีถันโจวสองคนนี้มาก เกลียดจนอยากฉีกเนื้อหันสิ้นส่วนโยนให้หมากิน เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณท่านฉี เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจแทนหัวหน้าหลิน

“หลินอิ่ง แกกล้าให้คนทำร้ายเราสองคน? แกอยากเห็นปู่แกตายต่อหน้าใช่ไหม?”

“แกต้องคิดให้ดีนะ แกกล้าไม่ก้มหน้าให้ตระกูลสวีของพวกเรา ฉีเวิ่นติ่งต้องตายแน่ วันนี้แกยังกล้าลงมืออีก เรื่องนี้ก็ไม่มีช่องว่างในการเจรจาอีกต่อไป ไม่มียาแก้พิษของคุณกง ถึงแกจะมีความสามารถล้นฟ้า ก็ช่วยปู่แกไม่ได้”

สวีถันโจวและสวีฉางเฟิงรีบพูด เพราะความหวาดกลัวในใจ

“ลงมือ”

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา พูดคำเดียวด้วยความเย็นชา

ปัง

วินาทีต่อมา ร่างของหัวหน้าก็พุ่งออกไปดั่งเสือดุร้าย ต่อยสวีถันโจวล้มลงจากรถเข็น กลิ้งลงมาจากรถเข็น จากนั้นก็ตบไปที่หน้าของสวีฉางเฟิง ตบจนเขาล้มอยู่บนพื้นกระอักเลือด

จากนั้น ก็จัดการบอดี้การ์ดที่ทั้งสองคนพามา กลิ้งล้มอยู่กับพื้นท่าทางโง่เขลา อย่างง่ายดาย

“อ้าก แก แกคิดจะทำอะไรของแก? แกบ้าไปแล้วใช่ไหม?”

“แกนึกว่าพวกเรากำลังขู่แกเหรอ? กล้าทำแบบนี้ ปู่แกตายแน่”

สวีถันโจวตะโกนด้วยความหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก ยังข่มขู่ด้วยคำพูดไม่หยุด

เผชิญหน้าต่อหลินอิ่ง สิ่งที่เขาใช้ได้ ก็มีเพียงการใช้ชีวิตของฉีเวิ่นติ่งในการข่มขู่

แต่คิดไม่ถึงเลย หลินอิ่งจะเด็ดขาดโหดเหี้ยมขนาดนี้ บอกลงมือก็ลงมือ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท