ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 514 เพื่อนเก่า?

บทที่ 514 เพื่อนเก่า?

ฉู่หยุนซานมีความคิดเห็นต่อเขา อยู่ตี้จิงต่อก็ไม่มีความหมายอะไร กลับไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ส่วนฉู่สงซาน ทำไมถึงรีบกลับไปเตียนหนาน

กลับทิ้งฉู่ฉู่อยู่ที่ตี้จิงคนเดียว นี่มันช่างน่าสนใจแล้ว

ตอนแรกหลินอิ่งคิดว่า ฉู่สงซานน่าจะอยู่ในโต๊ะอาหารด้วย

“ใช่คำ” ฉู่ฉู่พยักหน้า พูดอย่างเชื่อฟัง “ลุงฉันบอกว่าอยู่ตี้จิงไม่เคยชิน วันนั้นก็กลับไปแล้ว พ่อของฉันถูกคุณปู่เรียกกลับ ดูเหมือนมีธุระอะไร”

“พ่อของฉันให้บอกกับคุณหลินว่า ท่านจะมาตี้จิงใหม่ ถึงเวลาค่อยดื่มกับคุณ” ฉู่ฉู่พูดช้าๆ “ท่านให้ฉันอยู่ที่ตี้จิง บอกว่าถึงเวลาให้กลับเตียนหนานพร้อมคุณ…….”

พูดถึงตรงนี้ ฉู่ฉู่ก็แก้มแดงขึ้นทันที และหลบสายตาหลินอิ่ง

“ออ ไม่เป็นไร ให้พ่อของคุณหาเวลามาตี้จิงอีก ผมจะต้อนรับอย่างดี” หลินอิ่งพยักหน้า

“คุณหลิน ฉันรู้สึกสนใจตี้จิงเหมือนกัน มีจุดท่องเที่ยวหลายแห่งที่ฉันอยากไป คุณมีเวลาไปเที่ยวกับฉันไหม?” ฉู่ฉู่ถามด้วยสายตาคาดหวัง และระมัดระวัง

หลินอิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ฉู่ฉู่ ช่วงนี้ผมมีเรื่องต้องยุ่ง รอมีเวลาละกัน ในเมื่อคุณอยู่ต่อที่ตี้จิง ผมจะส่งคนคอยปกป้องอยู่ข้างกายคุณ เพราะว่า ในตี้จิงคุณก็ไม่ค่อยคุ้นเคย”

“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณหลินที่เป็นห่วง” ฉู่ฉู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง คีบเนื้อย่างขึ้นมากิน

ฉู่ฉู่สั่งอาหารตะวันตกทั้งโต๊ะ คู่กับอาหารว่างและไวน์หนึ่งขวด

ทั้งสองคนเงียบทั้งคู่ บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย

“คุณหลิน ดื่มสักแก้วไหมคะ?” ฉู่ฉู่เปิดปากพูด เทไวน์ในแก้ว ยื่นแก้วไวน์ให้หลินอิ่ง

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ชนแก้วกับฉู่ฉู่

เขาจะไม่รู้ว่าฉู่ฉู่คิดอะไรอยู่ได้ยังไง และรู้ความคิดของตระกูลฉู่

แต่ว่า ในใจของเขามีเพียงฉีโม่

“เอ๋? ฉู่ฉู่? เธอใช่ไหม?”

เวลาเดียวกัน เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา

เห็นเพียง ชายหนุ่มคนหนึ่งผูกไทใส่ชุดทักซิโด้อย่างหล่อเหลาเดินเข้ามา ข้างกายมีหนุ่มๆสาวๆหลายคน หยุดเดินแล้วมองมาที่ฉู่ฉู่ด้วยแววตาตะลึง

“คุณ? คุณคือซือหม่าเฟิง?” ฉู่ฉู่มองคนที่เดินมาด้วยสีหน้าลังเล แล้วก็นึกขึ้นได้

“ฮาฮา ฉู่ฉู่ เธอยังจำฉันได้ไหม ตั้งแต่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยกู๊ดร่า พวกเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เป็นฉู่ฉู่จริงด้วย? เกือบจำไม่ได้ เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“เอ้ ฉันดูออกตั้งแต่โน่นแล้ว สมัยนั้นฉู่ฉู่เป็นสาวงามชื่อดังในมหาลัยของเรา สาวฝรั่งตั้งมากมายยังไม่มีชื่อเสียงเหมือนเธอเลย”

ทันใดนั้น หนุ่มสาวข้างกายซือหม่าเฟิง ต่างก็พากันเข้ามาทักทาย

“ใช่ ตั้งแต่เรียนจบแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้เจอกันเลย” ฉู่ฉู่ตอบอย่างยิ้มแย้ม

หลินอิ่งไม่ได้พูด รักษาความสงบ มองฉู่ฉู่ไปทีหนึ่ง

“คุณหลิน พวกเขาเป็นเพื่อนนักเรียนสมัยมหาลัยของฉัน ทุกคนไม่ได้เจอกันนานแล้ว” ฉู่ฉู่ยิ้มพูดแนะนำ

เธอเคยเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยการแพทย์ชื่อดังระดับโลกแห่งหนึ่ง ตรงหน้าก็คือเพื่อนนักเรียนต่างคณะในมหาวิทยาลัยเดียวกัน พูดไปแล้ว ความจริงก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน บางคนแทบเรียกชื่อไม่ออก แค่คุ้นหน้าเท่านั้น

ที่รู้จักซือหม่าเฟิง ก็เพราะว่าตอนอยู่มหาลัย ซือหม่าเฟิงตามจีบเธออย่างบ้าคลั่ง

“ฉู่ฉู่ ท่านนี้คือ?”

ซือหม่าเฟิงสังเกตเห็นหลินอิ่ง มองไปด้วยสายตาไม่เป็นมิตร มองหลินอิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า

หลังจากสังเกตแล้ว ซือหม่าเฟิงก็ยิ้มขึ้นที่มุมปากอย่างเหยียดหยาม ในสายตามีแววแห่งความอิจฉา

“ท่านนี้คือคุณหลิน เพื่อนของฉันในตี้จิง” ฉู่ฉู่พูด

ซือหม่าเฟิงเหล่ตามองหลินอิ่ง แม้แต่อารมณ์ทักทายก็ไม่มี

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่งก็คือคนชั้นต่ำในสังคมคนหนึ่งเท่านั้น แม้แต่มาร้านอาหารหรูแบบนี้ ยังไม่รู้จักแต่งตัว ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน

ไอ้แซ่หลินคนนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำแบบย้อนยุค ชุดลำลองสบาย จะไปเหมือนผู้ลากมากดีที่มาร้านอาหารโรงแรมสากลแบบนี้ได้อย่างไร? นี่มันหนุ่มในสังคมระดับล่าง

ซือหม่าเฟิงดูถูกในใจ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมฉู่ฉู่ถึงกินข้าวกับคนเชยขนาดนี้ ยังสั่งชุดอาหารคู่รัก

“เพื่อนในตี้จิง? ฉู่ฉู่ ฉันจำได้ว่าบ้านเกิดของเธออยู่เตียนหนานโน่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาตี้จิง?” ซือหม่าเฟิงมองไปทางฉู่ฉู่แล้วถาม

“ออ ฉันมาตี้จิง ก็เพื่อมาหาคุณหลินโดยเฉพาะ” ฉู่ฉู่ตอบ

“มาหาเขาโดยเฉพาะ?” ซือหม่าเฟิงสีหน้าตะลึง ยิ่งฟังยิ่งไม่พอใจ “เขาเนี่ยนะ? คนแบบนี้ยังคู่ควรให้ฉู่ฉู่เธอมาหาเขาตั้งไกล?”

ซือหม่าเฟิงฟังแล้วก็โมโห คู่ควรได้ยังไง?

เขาเป็นถึงคุณชายตระกูลซือหม่า ตระกูลชั้นหนึ่งแห่งตี้จิงทั้งคน สมัยอยู่มหาลัย ใช้ทุกวิถีทาง ทำทุกอย่างเพื่อตามจีบฉู่ฉู่ แม้แต่โอกาสในการกินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่มี

ปรากฏว่า ฉู่ฉู่กลับวิ่งมาไกลถึงตี้จิง เพื่อไอ้หนุ่มเชยเฉิ่มระดับนี้?

นี่มันดูถูกใครกันแน่?

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่ซือหม่าเฟิงทีหนึ่ง หัวเราะเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรมาก

“ฉู่ฉู่ ตั้งแต่เรียนจบแล้วสบายดีไหม? ทำงานอะไรอยู่?” ซือหม่าเฟิงทนกลั้นความโกรธไว้ ตามต่อ

“ก็ยังดี ทำงานอยู่ที่บ้าน เกี่ยวกับด้านการแพทย์?” ฉู่ฉู่ตอบอย่างเรียบเฉย

กฎระเบียบของตระกูลฉู่เตียนหนานก็คือทำตัวถ่อมตน ดังนั้น เพื่อนนักเรียนในมหาวิทยาลัยไม่รู้ฐานะตระกูลของฉู่ฉู่

อีกอย่าง ตระกูลฉู่เตียนหนานเป็นตระกูลในแวดวงลึกลับ คนทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้จักตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดาย ฉู่ฉู่ จากความสามารถของเธอที่จบจากมหาลัย สามารถทำงานในบริษัทการแพทย์สากลไหนก็ได้อย่างสบายเลย ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่บ้านนอกอย่างเตียนหนาน” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างเปิดเผย “ถ้าหากเธออยากเปลี่ยนสถานที่เพื่อพัฒนาตัวเอง โทรหาฉัน ตระกูลฉันในตี้จิงก็มีทรัพยากรเครือข่ายความสัมพันธ์ไม่น้อย”

“ใช่ ฉู่ฉู่ ฐานะตระกูลพี่เฟิงเธออาจจะไม่รู้ เป็นถึงตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในตี้จิง” เพื่อนนักเรียนผู้ชายคนหนึ่งพูดประจบ “เธอลองไปสืบดูได้ ตระกูลซือหม่า เป็นถึงบริษัทระดับแสนล้าน มีปัญหาอะไรก็หาพี่เฟิงได้เลย สมัยนั้นพี่เฟิงชอบเธอขนาดนั้น เพียงแค่ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่มีข่าวของเธอเลย”

“ฉู่ฉู่ คุณหลินท่านนี้ คงไม่ใช่แฟนเธอหรอกนะ?” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามอย่างดูถูก “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอก็ตกต่ำเกินไปแล้วมั้ง? ทำไมถึงได้หาผู้ชายแบบนี้?”

“ฉู่ฉู่ ฉันจำได้ว่าสมัยอยู่มหาลัย เคยได้ยินว่าพ่อของเธอเปิดบริษัทการแพทย์ในเมืองก่าง ฐานะทางบ้านน่าจะใช้ได้นะ ทำไมถึงคบกับผู้ชายระดับต่ำขนาดนี้?” ผู้หญิงอีกคนพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “นั่นมันไม่คู่ควรกับฐานะดาวมหาลัยเลย”

“คุณหลิน เขา……” ฉู่ฉู่โดนพูดจนทำตัวลำบาก สีหน้าอึดอัด พูดอย่างลังเล

“เรื่องพวกนี้ เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ?”

หลินอิ่งมองซือหม่าเฟิงอย่างเย็นชา แสดงทัศนคติแทนฉู่ฉู่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท