ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 523 เอาคืนได้แล้ว

บทที่ 523 เอาคืนได้แล้ว

หลินอิ่งมองไปที่ซือหม่าเฟยวู่อย่างหนักแน่น ไม่ได้แสดงทัศนคติอะไร หมุนตัวเดินจากไป

ฮาเดสกับฉู่ฉู่ ต่างก็เดินตามออกจากโรงแรมสากลกวงหุย

“ส่งคุณชายอิ่ง คุณชายอิ่งเดินทางปลอดภัย”

ซือหม่าเฟยวู่ใช้ใบหน้าอันชรานั้น ก้มหน้ายิ้มแย้ม ส่งหลินอิ่งไปถึงหน้าห้องแสดงสินค้า

ส่วนคนของตระกูลซือหม่าที่อยู่ในงานนั้น รวมถึงบอดี้การ์ดสิบกว่าคน ต่างก็อยู่ในอาการสีหน้าอับอาย เบิกตากว้างมองดูหลินอิ่งจากไปอย่างสง่า

คนของตระกูลซือหม่าต่างก็ไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ความสามารถของหลินอิ่งอยู่ตรงนั้น เหยียบตระกูลซือหม่าบดขยี้ที่พื้น ตระกูลซือหม่ายังต้องเคารพอย่างดี

ภาพนี้ แขกในงานต่างก็แสดงสีหน้าดูหมิ่น

ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตระกูลซือหม่าแห่งตี้จิงแท้ๆ ถูกคนเหยียบย่ำในถิ่นของตัวเองแบบนี้?

ทำตัวสูงส่งจนถูกเขาตบหน้า ยังต้องก้มหน้ารับผิด

อำนาจและความน่าเกรงขามของคุณชายอิ่ง ในตี้จิงไม่มีใครกล้าแย่งชิงจริงๆ

“พ่อ ผม ผมไม่ไปจากตี้จิง ไม่ไปจากประเทศหลุง”​

ซือหม่าเฟิงสีหน้าเต็มไปด้วยความอับอายมองซือหม่าเฟยวู่ เต็มไปด้วยความไม่ยอม พูดจาขอร้อง

“ไอ้ไร้น้ำยา ไม่มีประโยชน์จริงๆ”

ซือหม่าเฟยวู่โมโหมาก ตบหน้าซือหม่าเฟิงอย่างแรงเสียงดังเพี๊ยะ ตบจนซือหม่าเฟิงล้มกลิ้งลงพื้น

“แกยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ? แกทำให้ตระกูลซือหม่าขายหน้าจนหมดสิ้นแล้ว แกยังอยากอยู่ในตี้จิงอีก? ถ้าหากแกไม่ใช่ลูกของฉัน เปลี่ยนเป็นคนรุ่นหลังตระกูลซือหม่าคนอื่น ฉันจัดการแกไปแล้ว” ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างโมโห อัดอั้นความโกรธไว้ ระบายอยู่ในตัวของลูกชายตัวเองหมด

“คำพูดที่หลินอิ่งพูดแล้ว ไม่มีใครกล้าคัดค้าน แก ไสหัวไปประเทศMซะ ทางโน้นฉันจะจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเอง” ซือหม่าเฟยเทียนพูดด้วยท่าทางที่เสียใจสั่งสอนลูกได้ไม่ดี ออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดข้างกาย “เอาตัวซือหม่าเฟิงกลับไป ส่งไปประเทศMคืนนี้ อย่าให้อยู่แม้แต่นาทีเดียว”

พูดจบ บอดี้การ์ดหนุ่มข้างกายซือหม่าเฟยวู่ เข้าไปจับตัวซือหม่าเฟิงไว้ ลากตัวออกไปเหมือนหมา

จากนั้น ซือหม่าเฟยวู่สีหน้าหดหู่มองไปที่แขกในงาน พูดว่า “ทุกท่าน วันนี้ตระกูลซือหม่ามีเรื่องไม่สะดวกดูแลแขกแล้ว หวังว่าทุกท่านจะเห็นใจ”

ทักทายเสร็จแล้ว ซือหม่าเฟยวู่สีหน้าหม่นหมองเดินออกจากห้องรับรอง ท่าทางหนักใจ

บนหน้าของเขา มีทั้งความโมโห ทั้งรู้สึกอับอายหวาดกลัว

ไม่ว่ายังไงก็เป็นผู้นำบริษัทที่มีหน้ามีตาในตี้จิง ผู้นำรุ่นสองของตระกูลซือหม่า เมื่อเทียบกันผู้นำคนรุ่นสองของห้าตระกูลใหญ่บางคน อาจจะมีอำนาจเหนือกว่า

แต่เพราะลูกชายหน้าโง่ทำผิด ต่อหน้าผู้คนมากมาย ด้วยสถานการณ์บังคับต้องไปขอความเมตตาจากหลินอิ่งเหมือนหมา

ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดโมโหยิ่งนัก แต่เพราะเกรงกลัวต่อชื่อเสียงของหลินอิ่ง ไม่กล้าไม่พอใจหรือไปแก้แค้น

“ฮัลโหล นายท่าน ทางนี้ผมพูดกับคุณชายอิ่งเทพองค์นี้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ถือว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ทางท่านไม่ต้องกังวลแล้ว” ซือหม่าเฟยวู่โทรศัพท์ออกไป พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ใช่ คือหลินอิ่งเจ้าตัวเองเขาที่อยู่ในโรงแรมสากลกวงหุย” ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างจริงจัง ดูเหมือนคุยโทรศัพท์กับนายท่านตระกูลซือหม่า “พ่อ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าหลินอิ่งกำลังสู้รบอยู่กับตระกูลสวี? ก่อนหน้านี้คนของตระกูลสวีเคยหาผม หาร่วมมือกับตระกูลซือหม่าของเรา ท่านว่ายังไง?”​

“ได้ ผมกลับไปปรึกษากับท่านที่บ้าน แล้วก็ติดต่อกับคนของตระกูลสวีด้วย”

วางสายแล้ว ซือหม่าเฟยวู่สายตาโหดเหี้ยม มองดูทางออกที่หลินอิ่งจากไป เสมือนไม่พอใจกับเรื่องในวันนี้

อีกด้านหนึ่ง ด้านล่างอาคารกวงฮุ่ย หลินอิ่งกับฉู่ฉู่นั่งเข้าไปในรถแล้ว ฮาเดสนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ ขับรถไปทางถนนอันเจริญรุ่งเรือง

“ฉู่ฉู่ ผมส่งคุณกลับไปก่อน คุณ พักที่โรงแรมจงเทียนชั่วคราวก่อน” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “เรื่องของผมในตี้จิง คงจัดการไม่เสร็จในระยะเวลาสั้นๆ รอผมจัดการเรื่องในตี้จิงให้เรียบร้อยก่อน ผมส่งคุณกลับเตียนหนานเอง ผมต้องพูดเรื่องบางอย่างกับคุณปู่คุณให้ชัดเจนด้วย”

“ได้ค่ะ คุณหลิน ฉันฟังคุณทุกอย่าง คุณมีธุระอะไรก็ไปยุ่งก่อนได้เลย ฉันอยู่ในตี้จิงก็ดีเหมือนกัน” ฉู่ฉู่พูดอย่างเชื่อฟัง

“ใช่แล้ว คุณหลิน ต้องขอโทษด้วย เป็นเพราะฉันถึงเกิดเรื่องวุ่นวาย ทำให้คุณต้องเสียเงินมหาศาล เรื่องในคืนนี้ คงจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้คุณแล้ว?” ฉู่ฉู่ถามอย่างระมัดระวัง

“เงินจำนวนนี้ ฉันจะให้พ่อของฉันโอนให้คุณเอง” ฉู่ฉู่พูดอย่างงจริงจัง

“ไม่ต้อง คุณเป็นแขกของตระกูลฉี มาจากต่างถิ่น เรื่องของคุณในตี้จิง ก็คือเรื่องของผม” หลินอิ่งพูดอย่างเด็ดขาด

ฉู่ฉู่แก้มแดง ไม่กล้าคัดค้านคำพูดของหลินอิ่ง ได้แค่พยักหน้า พูดว่า “ได้ค่ะ ตามที่คุณจัดการเลยค่ะ”

วินาทีนี้ หัวใจเธอเต้นเร็ว รู้สึกว่าผู้ชายที่นั่งข้างเธอคนนี้ สมบูรณ์แบบเหลือเกิน

หลินอิ่งเพื่อเธอแล้ว ไม่ห่วงที่จะทุ่มเทเงินมหาศาลขนาดนี้ และไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองกับตระกูลซือหม่า

ทำให้หัวใจของฉู่ฉู่หวั่นไหว เกิดคลื่นซัดแรงในหัวใจ

ส่วนหลินอิ่ง ไม่ได้มีความรู้สึกแต่อย่างใด นั่งพิงหลังหลับตาพักผ่อนในรถ

……

วันที่สอง

เกิดความสะเทือนในแวดวงสังคมตี้จิง ข่าวลือต่างๆสารพัดประกาศออกไป ทำให้คนทั้งวงการตื่นตระหนก

เพราะว่า คนทั้งตี้จิงต่างก็รู้ว่าตระกูลสวีจะเปิดสงครามกับตระกูลฉี คนที่พอมีอำนาจความสามารถหน่อย ต่างก็พากันจับตาดูสงครามของสองตระกูลยักษ์ใหญ่นี้

การแข่งขันระหว่างตระกูลฉีและตระกูลสวี ต้องสร้างผลกระทบให้กับกระแสแนวทางธุรกิจในตี้จิงแน่นอน สร้างผลกระทบความสมดุลของอำนาจในตี้จิงทั้งหมด

สามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้คนมากมายในองค์กรตระกูลใหญ่ในตี้จิงให้ความสนใจ

เรื่องที่หนึ่ง นายท่านตระกูลฉีออกมาแก้ไขข่าวลือด้วยตัวเอง และประกาศว่า ตระกูลสวีลงมือก่อนโดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า ตระกูลฉีพร้อมสู้กับตระกูลสวีให้รู้แพ้รู้ชนะแน่นอน สุขภาพของฉีเวิ่นติ่งแข็งแรง ไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือบอก พูดอะไรว่านายท่านตระกูลฉีเสียชีวิตแล้ว อะไรป่วยหนักอยู่บนเตียง ใกล้ตายแล้วอะไรพวกนี้

และนี่ก็ทำลายข่าวลือที่ลือกันทั่วเมืองอย่างย่อยยับ ทำให้ตระกูลสวีต้องอยู่ในตำแหน่งฝ่ายรับของสื่อมวลชน

เรื่องที่สอง ก็คือคุณชายอิ่งปรากฏตัวในโรงแรมสากลกวงหุย ข้างกายมีหญิงสาวสวยงามผู้ลึกลับคนหนึ่ง ข่าวลือบอกว่า คุณชายอิ่งโมโหเพื่อสาวงามในโรงแรมสากลกวงหุย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีตระกูลซือหม่าจนไม่เหลือชิ้นดี

เรื่องที่สาม เจ้าพ่อมาเฟียผู้มีชื่อเสียงในโลกแห่งความมืดตี้จิง เหยียนหลง ถูกคนทำร้ายจนแขนขาหักในเขตหัวหยาง ทำร้ายจนคุกเข่ากลางถนน อย่างน่าอนาถ

อีกอย่าง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากมายในเขตหัวหยาง คนของตระกูลฉีเข้าสู่วงการธุรกิจและโลกแห่งความมืดอย่างแข็งแกร่ง กวาดล้างกิจการทั้งหมดที่เคยเป็นของตระกูลสวี

ทุกคนต่างก็รู้ เหยียนหลงเป็นตัวแทนของตระกูลสวีในโลกแห่งความมืด

ภายในวันเดียว เกิดเรื่องมากมายที่มีผลร้ายต่อตระกูลสวี การคาดเดาของทุกคน นี่เป็นเพราะคุณชายอิ่งโมโหแล้ว ลงมือด้วยตัวเอง

เมื่อเทียบกับข่าวลือที่ลือกันอย่างสนั่นสองวันก่อน บอกว่าสถานการณ์ตระกูลฉีอันตรายพร้อมล่มสลายตลอดเวลา แล้วมาดูวันนี้ เห็นได้ชัดว่าคุณชายอิ่งเอาคืนแล้ว

เขตเหยียนหวง ตระกูลสวี

สวีจิ่วหลิงรอยตีนกาเต็มหน้าหน้าอยู่บนเก้าอี้ อารมณ์ดูเหมือนไม่ค่อยดีนัก

“กงจิ่วยังไม่มาหรือ? เขาบอกว่าฉีเวิ่นติ่งต้องตายภายในสามวันไม่ใช่เหรอ? ทำไมจนถึงตอนนี้แล้ว ฉีเวิ่นติ่งยังเปิดงานแถลงข่าวได้?”

สวีจิ่วหลิงมองหน้าลูกหลานตระกูลสวีที่อยู่ในห้องโถงนี้ ถามด้วยสีหน้าเคร่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท