ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 540 เขาเป็นพี่เขยของเธอ

บทที่ 540 เขาเป็นพี่เขยของเธอ

“คุณชายใหญ่ คุณพูดเรื่องราวใหญ่โตอะไร?” จ้าวหงหยังสีหน้าตื่นเต้น เวลาเดียวกันก็แดงเล็กน้อย

“นี่? นี่มันคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวมาแล้ว? แล้วก็คุณหนูใหญ่ตระกูลจ้าวด้วย? เรื่องอะไรถึงทำให้สองคนนี้ต้องมาด้วยตัวเอง?”

“ไม่รู้เหมือนกัน นี่ สองคนนี้เป็นถือหน้าตาของตระกูลจ้าวเลย……”

“หรือว่า? คนนั้นจะเป็นคุณชายอิ่งจริง?”

ทันใดนั้น คนในงานต่างก็ตกใจกัน รู้สึกว่าเหตุการณ์จะไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด

ส่วนจ้าวหงหยัง สีหน้าหดหู่สุดขีด ท่ามกลางผู้คนมากมาย ถูกหลานของตัวเองต่อว่า ทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จ้าวเฉิงเฉียนฐานะสูงส่งภายในตระกูลจ้าว อยู่รองจากเพียงท่านปูและแม่เฒ่าตระกูลจ้าวเท่านั้น เทียบกับเขาแล้วมันคนละระดับกันเลย

ยังได้ยินว่า อำนาจข้างนอกของคุณชายจ้าวเอง ก็ไม่น้อยไปกว่าตระกูลจ้าว

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอาของจ้าวเฉิงเฉียน ก็ต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างระมัดระวัง

“อาหก อาเป็นผู้ใหญ่ อย่างอื่น ผมก็ไม่พูดมากแล้ว ที่นี่ให้ผมเป็นคนจัดการเอง อาถอยไปได้” จ้าวเฉิงเฉียนโบกมือ พูดด้วยท่าทางน่าเกรงขาม

“นี่…….แต่ว่า ก็ได้” จ้าวหงหยังสีหน้าไม่ดี ยืนไปด้านข้างอย่างไม่เต็มใจ

ช่วยไม่ได้ เพราะว่าเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าว ฐานะตำแหน่งอยู่ตรงนั้น พอเข้ามา ราศีก็กดทับเขาไปเลย

จ้าวหงหยังในใจเริ่มรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกถึงเรื่องไม่ค่อยดีแล้ว

ต้องรู้ว่า ปกติจ้าวเฉิงเฉียนไปมาหาสู่กับอาหกคนนี้ ค่อนข้างให้ความสำคัญกับความเป็นอาวุโส อยู่ด้วยกันอย่างเคารพ

คืนนี้เข้ามาก็แข็งแกร่งขนาดนี้ นี่…….

จ้าวหงหยังมองไปที่หลินอิ่ง ในใจสะดุ้ง ไม่กล้ามองต่อไปอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว

เรื่องที่สามารถให้จ้าวเฉิงเฉียนออกหน้าด้วยตัวเอง แค่ธุรกิจของเขากับชีซิงกรุ๊ป ยังไม่มีสิทธิ์…….

ทำให้จ้าวหงหยังถอยออกไปแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งเครียด มองเผียวเจียงลี่อย่างเย็นชา จากนั้น ก็มองไปที่นั่งของหลินอิ่ง

ส่วนจ้าวหลินเอ๋อร์ข้างกายเขา ท่าทางโมโหโกรธเคืองแล้ว สายตาโหดเหี้ยมจ้องอยู่ตำแหน่งที่หลินอิ่งอยู่ ยิ่งเต็มไปด้วยความอิจฉาต่อกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่

“คุณชายอิ่ง…….ผมมาวันนี้ ตอนแรกมีธุระจะคุยกับคุณ ได้ยินว่าวันนี้คุณปรากฏตัวที่เมืองเทียนหลง จึงตั้งใจมา” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

หลังจากที่ต่อสู้กับหลินอิ่งที่เมืองก่างแล้ว เขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ

ต่อหน้าหลินอิ่ง จ้าวเฉิงเฉียนไม่กล้าแสดงท่าทางยโสโอหัง ราศีที่ไม่มีใครเทียบได้

“หาผมมีธุระ?” หลินอิ่งมองจ้าวเฉินเฉียนอย่างเรียบเฉย “คุยธุระ ก็แสดงความจริงใจของคุณออกมาก่อน”

“ชีซิงกรุ๊ปเจรจาธุรกิจในถิ่นของตระกูลจ้าวของพวกคุณ คืนนี้ คุณจ้าวเฉิงเฉียนถ้าจัดการไม่ได้ ผมจะจัดการด้วยตัวเอง”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“คุณชายอิ่ง ผมเข้าใจความหมายของคุณ เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของผมเอง ส่งข่าวมาให้ทางด้านอาหกของผมไม่ทัน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม

เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินอิ่ง

ระหว่างชีซิงกรุ๊ปกับหลินอิ่งมีความแค้นต่อกัน เขาก็รู้รายละเอียด

คืนนี้ เห็นได้ชัดว่าหลินอิ่งจะตัดขาดหนทางธุรกิจในเมืองเทียนหลงของชีซิงกรุ๊ป ส่วนอาหกของตระกูลตัวเองก็ไม่มีสายตา ไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสียเลย

ยังถือว่าดี ที่หลินอิ่งไม่ได้โมโหร้าย แต่ให้เขามาจัดการเรื่องนี้ให้ดี มิเช่นนั้น สถานการณ์ก็ยากที่จะควบคุม

“คุณชายอิ่ง? นี่ นี่ คุณชายจ้าวเรียกเขาว่าคุณชายอิ่ง?”

“สามารถทำให้คนระดับจ้าวเฉิงเฉียนปฏิบัติต่ออย่างสงบ ดูเหมือน ในตี้จิงจะมีไม่กี่คน…….”

“ถ้าอย่างนั้นก็คือ? เมื่อกี้เขาไม่ได้ปลอมตัว เขา เขาคือคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงจริง?”

คนภายในงาน ต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึง มองดูจ้าวเฉิงเฉียนพูดกับหลินอิ่ง

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนต่างตะลึงออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ต่างสูดหายใจเข้าอย่างตกใจ

ทำให้คุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิงอย่างจ้าวเฉิงเฉียนที่ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน พูดด้วยท่าทางจริงใจ

ถ้าเช่นนั้น ฐานะของหลินอิ่ง ก็แสดงออกมาแล้ว

สถานการณ์ตอนนี้ ช่างทำให้น่าตกใจเหลือเกิน

ชายหนุ่มสองคนที่มีอำนาจที่สุดในตี้จิง ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างนี้

พูดได้อย่างไม่เกินจริง คุณชายสองท่านนี้ แค่หายใจเบาๆ ก็สามารถทำให้ตี้จิงสะเทือนได้

“นี่ นี่มันสถานการณ์อะไร พี่หลินเอ๋อร์ เขา เขาเป็นใครกันแน่?” จ้าวหลันเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างตะลึงตาค้างไปแล้ว ตกใจจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

พี่ชายคนโตจ้าวเฉิงเฉียน จ้าวหลินเอ๋อร์พี่สาวคนโตในคนรุ่นที่สามของตระกูลจ้าว กลับมาในงานพร้อมกันหมด?

สองคนนี้ เป็นถึงคนที่เธอทั้งเคารพนับถือ แม้แต่พ่อของเธอยังต้องพึ่งพาอำนาจของพี่ใหญ่จ้าวเฉิงเฉียน

จ้าวหลันเอ๋อร์ไม่ได้โง่ ดูสถานการณ์ออกแล้ว แต่ว่าในใจยังไม่อยากเชื่อ

เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง แม้แต่ขยับตัวยังไม่กล้า

คิดถึงคำพูดที่พูดเสียดสีหลินอิ่งเมื่อกี้ ก็อยากตบหน้าตัวเองสองครั้ง ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้

“เขาเป็นพี่เขยเธอ”

จ้าวหลินเอ๋อร์กัดฟันพูด สายตาจ้องอยู่บนตัวกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่อย่างโกรธแค้น

ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามา สายตาของเธอไม่ได้ออกห่างจากตัวของผู้หญิงสองคนนี้เลย

“อ้าก” จ้าวหลันเอ๋อร์ตกใจทันที คิดถึงเรื่องสัญญาหมั้นหมายของคุณชายอิ่งกับพี่สาวตระกูลตัวเอง

คุณชายอิ่งท่านนี้ เป็นคนที่เธอนับถืออยู่ในใจมาตลอด แต่ว่าไม่กล้าเชื่อเลย วันนี้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า กลับถูกตัวเองพูดจาดูถูกเหยียดหยามแบบนี้?

“คุณจ้าวไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว? ท่านนี้ คุณคือคุณจ้าวเฉิงเฉียนของตระกูลจ้าว? ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณแล้ว” เผียวเจียงลี่พูดอย่างจริงจัง “คุณจ้าวเฉิงเฉียน ชีซิงกรุ๊ปของเรามีความจริงใจที่อยากร่วมงานกับตระกูลจ้าวของพวกคุณ ถ้าหากคุณหงหยังไม่ดูแลเรื่องนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้น หวังว่าคุณจะร่วมงานกับบริษัทเรา”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเย็นชา มองเผียวเจียงลี่อย่างเย็นตา

“เผยหวูหมิง ไปซ้อมคนเกาหลีนั่นให้มันคุกเข่าลง”

จ้าวเฉิงเฉียนออกคำสั่งอย่างเย็นชา ไม่ได้ให้โอกาสเผียวเจียงลี่พูด

“ครับ”

เผยหวูหมิงสีหน้าเรียบเฉย เสียงชิ้ว ร่างกายเคลื่อนไหว ขึ้นไปบนเวทีเหมือนดั่งสายลม

ปัง ปัง ปัง

เสียงดังกึงก้องสามเสียง หมัดของเผยหวูหมิงเหมือนดั่งค้อน ทุบไปบนตัวของเผียวเจียงลี่อย่างรุนแรง ทุบจนเขากระเด็นไปไกลสิบเมตร กระอักเลือดออกจากปาก

“เอื้อก อ้าก”

เผียวเจียงลี่กลิ้งอยู่บนพื้น สีหน้าเจ็บปวดทนมาร เลือดเต็มตัว ปากก็ร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนหมูถูกเชือด ยังพูดภาษาเกาหลีไม่หยุด

เสียงดังคั๊กคั๊กสองครั้ง

เผยหวูหมิงเดินเข้าไปอีก ถีบที่กระดูกหัวเข่าสองครั้ง ทำให้เผียวเจียงลี่คุกเข่าอยู่บนเวที ร่างกายอ่อนแรงหมอบอยู่บนพื้นเหมือนหมา

“ว้าก นี่มัน”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ท่ามกลางสายตาผู้คน ประธานผู้มีอำนาจของชีซิงกรุ๊ปตระกูลเผียว ถูกซ้อมจนคุกเข่าอยู่บนพื้น?

ความสะเทือนและผลกระทบที่เกิดขึ้นในนี้ ช่างทำให้ทุกคนในงานรู้สึกถึงความหวาดกลัวตกใจ สถานการณ์แบบนี้ เป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนตี้จิงได้แน่นอน

“คุณชายอิ่ง ตอนนี้ผมจ้าวเฉิงเฉียนขอรับรองกับคุณว่า สิทธิ์การพัฒนาตลาดการค้าในเมืองเทียนหลง เป็นของคุณหมด ธุรกิจทั้งหมดในคืนนี้ ก็เป็นของคุณทั้งหมด”

“แบบนี้ พอไหม?”

จ้าวเฉิงเฉียนมองไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท