ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 544 ลอบฆ่า?

บทที่ 544 ลอบฆ่า?

ภายในห้องโถงรองอันหรูหรา ยื่นมือไม่เห็นนิ้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“หือ? ทำไมถึงไฟดับ?”

จ้าวหลินเอ๋อร์กับกงซุนชิวอวี่พูดด้วยความแปลกใจพร้อมกัน

“สองท่าน ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“คุณชายใหญ่กับคุณชายอิ่งล่ะ?”

เวลานี้ ตรงประตูมีแสงไฟส่องมา

หม่าผิงชวนถือมือถือเดินเข้ามา ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ภายใต้แสงไฟนี้ ก็พอมองเห็นบ้าง หลินอิ่งและจ้าวเฉิงเฉียนก็มาถึงห้องโถงรองอย่างไร้วี่แวว ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ชิวอวี่ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ฉู่ฉู่ล่ะ?” หลินอิ่งกวาดตามอง แล้วถาม

“พี่ เมื่อกี้เธอไปเข้าห้องน้ำ น่าจะใกล้กลับมาแล้ว?” กงซุนชิวอวี่พูด

“ไปเข้าห้องน้ำ?” หลินอิ่งถามอย่างขมวดคิ้ว ในใจมีความรู้สึกไม่ค่อยดี

“ใช่ พี่ ไม่รู้ว่าสถานการณ์อะไร อาคารไฟดับกะทันหัน หรือว่าฝ่ายนิติบุคคลทำงานแย่ขนาดนี้?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างไม่พอใจ

จ้าวหลินเอ๋อร์ถูกคำพูดนี้ทำให้สำลัก สีหน้าไม่พอใจ

มองหลินอิ่งด้วยสายตาไม่พอใจ รู้สึกว่าหลินอิ่งไม่ถามถึงเธอเลยแม้แต่คำเดียว แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยฉู่ฉู่และกงซุนชิวอวี่เป็นอันดับแรก

“เหล่าหม่า นี่มันเรื่องอะไรกัน? เผยหวูหมิงไปไหนแล้ว? ผู้รับผิดชอบของอาคารนี้อยู่ไหน ไปเรียกเขามา ถามให้ชัดเจนว่าเขาทำงานยังไง” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม สีหน้าไม่ดี

เขากำลังคุยกับคนสำคัญอย่างหลินอิ่งอยู่ ในถิ่นของตระกูลตัวเอง กลับเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“เรียบคุณชายใหญ่ เมื่อครู่แขกผู้หญิงที่คุณชายอิ่งพามา ไปเข้าห้องน้ำ ผมให้เผยหวูหมิงตามไปเฝ้าข้างนอก เพื่อป้องกันเกิดอุบัติเหตุอะไร” หม่าผิงชวนพูดอย่างจริงจัง

“เพราะว่าเป็นแขกของคุณชายอิ่ง ในถิ่นของตระกูลจ้าว ผมไม่กล้าให้มีอุบัติเกิดขึ้นกับแขก” หม่าผิงชวนพูดอธิบาย กังวลว่าหลินอิ่งจะเข้าใจการกระทำของเขาผิด

“ไปนานแค่ไหนแล้ว? ทำไมเผยหวูหมิงยังไม่เข้ามา?” จ้าวเฉิงเฉียนถาม

“แขกผู้หญิงท่านนั้นออกไปประมาณห้านาทีแล้ว” เผยหวูหมิงตอบอย่างจริงจัง

“นี่…….” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองหลินอิ่ง เพื่อถามความหมายของเขา

เขาดูการตอบสนองของหลินอิ่ง สงสัยว่าน่าจะมีคนเจาะจงมาเพื่อหลินอิ่งโดยเฉพาะ

สำหรับคนแข็งแกร่งอย่างหลินอิ่ง ปฏิบัติการที่เจาะจงเขาโดยตรง มีความอันตรายขนาดไหน

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย กำลังจะพูดอะไร

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มชุดสูทสองนายเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“รายงานประธานจ้าว เกิดปัญหาขึ้นในอาคาร ห้องควบคุมไฟฟ้าไม่มีคนรับสาย ผมส่งคนไปสำรวจสถานการณ์แล้ว”

“แล้วก็ประธานจ้าว เมื่อกี้บอดี้การ์ดของท่านไม่รู้ว่ากำลังต่อสู้กับใคร พวกเราได้ยินเสียง”

“อะไร? บอดี้การ์ดผม” จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเย็นชาทันที ประสาทตึงเครียดขึ้นมาทันที

เผยหวูหมิงต่อสู้กับคนอื่น?

คนที่สามารถสู้กับเผยหวูหมิงได้ นั่นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่

เห็นได้ชัดว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว

หลินอิ่งสายตาเย็นชา ร่างกายชิ้วทีเดียว พุ่งออกจากห้องโถงรอง

ท่ามกลางความมืด การมองเห็นในที่มืดของเขา ไม่ต้องพึ่งแสงไฟ มุ่งหน้าไปทางห้องน้ำของลานจัดเลี้ยงทันที

“นี่มัน?” หม่าผิงชวนสีหน้าลังเล มองไปที่จ้าวเฉิงเฉียน

บรรยากาศตึงเครียด ตัวจ้าวเฉิงเฉียนเองก็ตื่นเต้นเล็กน้อย

“เหล่าหม่า คุณอยู่ที่นี่ดูแลหลินเอ๋อร์และคุณหนูกงซุน ผมไปดูด้วยตัวเองหน่อย”

“ต้องขอดูหน่อย ใครกันแน่ที่กล้าก่อเรื่องในถิ่นของตระกูลจ้าว”

สั่งเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนก็ตามไปด้วยสีหน้าเย็นชา

หนึ่งนาทีผ่านไป

หลินอิ่งปรากฏตัวบนทางเดินหน้าห้องน้ำ

“ฉู่ฉู่?”

หลินอิ่งเรียกไปคำหนึ่ง ไม่มีคนตอบรับ ได้ยินเพียงเสียงสะท้อนกลับจากทางเดิน

รอบด้านไม่มีคนเลย เงียบไร้เสียง ผนังอาคารถล่มลงมาเป็นรู เหมือนเกิดการสู้รบอย่างรุนแรง

หลินอิ่งสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาทันที

ตอนแรกเขาก็มีการคาดเดาที่ไม่ดีอยู่แล้ว ได้ยินบอดี้การ์ดมารายงานสถานการณ์แล้ว ก็เข้าใจทันที นี่มันเกิดเรื่องใหญ่แล้ว

สามารถต่อสู้กับยอดฝีมือรายการคนอย่างเผยหวูหมิงได้ นั่นก็เห็นได้ชัดว่าอันตรายแค่ไหน

ส่วนเผยหวูหมิงเมื่อกี้ก็ไปปกป้องฉู่ฉู่พอดี

เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นปฏิบัติการอยู่วางแผนไว้แล้ว

ไม่ได้เจาะจงมาที่เขา แต่คือฉู่ฉู่

มองไปตามร่องรอยการต่อสู้บนผนัง หลินอิ่งเดินไปที่ช่องทางนิรภัยอันกว้างขวางของอาคาร

ประตูนิรภัยถูกคนถีบจนแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

ทางเดินด้านใน มืดสนิท มีกลิ่นคาวเลือดบางๆ บนผนังมีร่องรอยเลือดเปื้อนอยู่

หลินอิ่งสีหน้าตึงเครียด เสียงฝีเท้าดังกึกก้อง ค่อยๆเดินเข้าไป

อีกฝั่งหนึ่ง ทางโค้งแห่งหนึ่งบนทางเดินในอาคาร

เสียงดังเพี้ยงพร้าง ปังปังปัง

เสียงกระทบยังคงก้องอยู่ในทางเดิน และปะปนกับเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายและหนักหน่วง

เห็นเพียงเงาดำที่เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้าท่ามกลางความมืด และมีแสงดาบยาวกะพริบอยู่กลางความมืด ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

ท่ามกลางความมืด แสงดาบระยิบระยับผ่านไป

เลือดกระเด็นสาดออกไป

“เอื้อก”

เผยหวูหมิงตะโกนด้วยความเจ็บ ถูกดาบฟันที่ไหล่ ถอยหลังไปหลายก้าว สายตาหนักแน่นและเจ็บปวด สีหน้าซีดขาว

คนชุดดำถือดาบหลายคนยืนอยู่หน้าเขา ค่อยๆขยับเข้ามา

ฉู่ฉู่ยืนอยู่ที่ไม่ไกลนัก ปิดปากไว้ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“พวกแกเป็นคนต้าเหอ? นี่มันวิชาดาบของสำนักยุทธ์เชียน?” เผยหวูหมิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกแกเจาะจงใครกัน? กล้าลงมือในถิ่นของตระกูลจ้าว?”

จากการประลองฝีมือแล้ว เผยหวูหมิงรู้ที่มาของคนชุดดำลึกลับแล้ว

นี่คือกลุ่มคนต้าเหอ ยังเป็นสำนักยุทธ์เชียนที่ชื่อเสียงโด่งดังจากประเทศต้าเหอ

ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งทั้งนั้น แม้แต่เขาก็แค่พอรับมือได้เท่านั้น

เขาไม่เข้าใจ ยอดฝีมือระดับนี้ทำไมถึงมาลอบฆ่าหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ไร้อาวุธป้องกันตัวคนหนึ่งอย่างไร้ยางอายเช่นนี้

“นายรู้ว่าพวกเราคือสำนักยุทธ์เชียน? น่าสนใจ” หัวหน้าคนชุดดำพูดด้วยเสียงแหบ “นายดูแล้วก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่ใช้ได้ นายบอกว่าตระกูลจ้าว? นายไม่ได้ทำงานให้หลินอิ่ง?”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอเตือนนายว่าอย่างเข้ามายุ่ง ไสหัวไปซะ เป้าหมายของเรา มีเพียงผู้หญิงคนนี้กับหลินอิ่ง”

คนชุดดำพูดจาข่มขู่

“หลินอิ่ง?” เผยหวูหมิงสีหน้าเคร่งเครียด รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ตอนแรกเขาได้รับคำสั่งให้ปกป้องแขกที่หลินอิ่งพามา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตแบบนี้

“ที่นี่เป็นถิ่นของตระกูลจ้าว แวดวงลึกลับประเทศหลงมีระเบียบ” เผยหวูหมิงพูดอย่างเย็นชา “ในประเทศหลุง ยังไม่ใช่สิทธิ์ของคนนอกจากต้าเหออย่างพวกแกมาอวดดี ยังอยากจะฆ่าคนต่อหน้าคนในแวดวงลึกลับอีก?”

“ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปตายเถอะ”

คนชุดดำพูดเสียงเย็นชา

ทันใดนั้น ดาบหลายเล่มฟันลงไป ส่วนโค้งของดาบนั้นเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เผยหวูหมิงหมุนร่าง หนึ่งหมัดฟาดลงไป หมัดสะเทือนดั่งสายลม ฟาดดาบถอยออกไปหลายเล่มเสียงดังติ้งตั๊ง

จากนั้น คนชุดดำหลายคนก็พุ่งเข้ามา สู้กันพัลวันอยู่กับเผยหวูหมิง

หลังจากสู้กันห้าหกท่า เผยหวูหมิงสู้ไม่ไหว จากการถูกรุมล้อมก็ถูกฟันไปหลายครั้ง จนเลือดท่วมตัว แล้วถูกคนชุดดำคนหนึ่งฟากฝ่ามือลงมา คนทั้งคนกระเด็นออกไปไกลสิบเมตร ล้มลงข้างผนังอย่างแรง จนผนังเป็นรู

“แคกแคกแคก……” เผยหวูหมิงเลือดซึมออกจากปาก นอนอยู่บนพื้น ตัวชาไปทั้งร่าง ถูกทำร้ายจนเกือบตายแล้ว

“ไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นซะ”

หัวหน้าคนชุดดำออกคำสั่งเย็นชา

ฉู่ฉู่ปิดปากไว้ ค่อยๆถอยหลัง ตางามคู่นั้นมีแววแห่งความหวาดกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท