ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 554 ถึงเวลาต้องจัดระเบียบใหม่แล้ว

บทที่ 554 ถึงเวลาต้องจัดระเบียบใหม่แล้ว

“เอื้อก อ้าก”

เชี่ยจุนตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด มองเย่เฮยด้วยความตะลึง แล้วก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ยังไงเขาก็คิดไม่ถึง บอดี้การ์ดของหลินอิ่ง มีฝีมือร้ายกาจถึงขนาดนี้?

คนของตัวเองชักปืนออกมาแล้ว แต่กลับยังลงมือเร็วสู้คนอื่นไม่ได้?

นี่มันโหดเกินไปแล้ว?

“ปล่อยตัวพี่เชี่ย”

“แม่งเอ้ย พี่เชี่ยยังกล้าลงมือ? เชื่อไหมว่าฉันให้แกสองคนตายอยู่ที่นี่วันนี้?”

วินาทีที่เชี่ยจุนถูกเย่เฮยจับไว้ ลูกน้องของเชี่ยจุนที่อยู่น้องร้านก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่ละคนสีหน้าโมโห ท่าทางพร้อมชักปืนสู้ตลอด

ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างรถ ต่างก็พอกันล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ยิ่งมีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกหลายคน หยิบถุงกระบอกปืนออกมาจากท้ายรถถือไว้ในมือ

“ฉันขอถามอีกรอบ ว่าลูกพี่นายคือใคร?”

หลินอิ่งจ้องเชี่ยจุนด้วยแววตาเย็นชา ถามอย่างเย็นชา

เชี่ยจุนมองดูสายตาอันเย็นชาของหลินอิ่ง หน้าผากท่วมหัวอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจก็เริ่มสั่น

ชายหนุ่มลึกลับตรงหน้าคนนี้ แสดงออกมาใจเย็นหนักแน่นเกินไปแล้ว ไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

นอกประตูคนมากมายขนาดนี้ มือปืนหลายสิบคนเตรียมพร้อม และยังมีคนที่ถือปืนยาว

หลินอิ่งยังรักษาความสงบนิ่งได้ขนาดนี้?

ความนิ่งขนาดนี้ ไม่ใช่การแสดงออกมาแน่นอน

“แก แกเป็นใคร? บอกชื่อมา” เชี่ยจุนพูดอย่างเย็นชา “ฉันขอบอกแก ตอนนี้ฉันแค่ออกคำสั่ง พวกแกสองคนก็ต้องตาย……”

เพี๊ยะ

คำพูดของเชี่ยจุนยังพูดไม่จบ เย่เฮยก็ตบไปที่หน้าของเขาอย่างแรง ตบจนเขากระอักเลือด

“คุณหลินถามแก แกไม่ได้ยินหรือไง?” เย่เฮยพูดอย่างเย็นชา

ในตัวของเขาแปร่งประกายแรงสังหารอันน่ากลัว เหมือนกันหุ่นยนต์ฆ่าคนที่ไร้ความรู้สึก

“แก แม้งเอ้ย ยังกล้าทำร้ายพี่เชี่ย?” เปาต๋าพูดอย่างทั้งโกรธทั้งตกใจ ชี้นิ้วไปที่หวงชิงซาน “ไอ้แก่หวง คนนี้เป็นเพื่อนแกใช่ไหม? แกรู้ไหมว่าเพื่อนแกก่อเรื่องใหญ่แค่ไหน? พี่เชี่ยแกก็กล้าลงมือ?”

“แกรีบให้เพื่อนของแกคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะไม่ต้องตายก็ได้ เรียกคนที่บ้านไอ้เด็กนี่มาจัดการ”

หวงชิงซานไม่ได้สนใจเปาต๋า บนใบหน้าก็ไม่มีอารมณ์ความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

“ไอ้แก่หวง แกก็หูหนวกแล้วใช่ไหม?” เปาต๋าตะโกนด่าหวงชิงซาน

ปัง

คำพูดเพิ่งพูดจบ หวงชิงซานก็เดินเข้าไปถีบเปาต๋าคุกเข่าลง หัวเขากระแทกลงพื้นอย่างแรง จนเลือดซึมออกมา

หวงชิงซานก่อนหน้านี้ต่อหน้าเปาต๋าไม่ลงมือ นั่นเพราะว่าตั้งใจไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกแล้ว เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น และไม่กล้าแสดงวิชากังฟู

แต่วันนี้ ตอบตกลงออกไปทำงานให้หลินอิ่งแล้ว ก็ไม่มีข้อห้ามอะไรแล้ว

“เอื้อก ไอ้แซ่หวง แก”

เปาต๋าปวดจนตัวสั่นไปทั้งร่าง กระตุกไม่หยุด สีหน้าไม่อยากเชื่อ

ตอนนี้ ในใจเขารู้สึกว่า โลกทั้งใบเหมือนเปลี่ยนไปหมดแล้ว

ทำไมก่อนหน้านี้ที่อดทนทำตามทุกอย่าง หวงชิงซนที่ทำตัวต่ำต้อยต่อหน้าเขา ถึงเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมขนาดนี้ ลงมือหนักขนาดนี้ แม้แต่เขายังกล้าทำร้าย? ถีบทีเดียวก็ทำให้ร่างกายท่อนล่างเขาชาไปหมด?

“พูดมากอีก พวกแกได้ตายหมดแน่”

หวงชิงซานพูดไปสองคำอย่างเย็นชา ในน้ำเสียงอันแกชรานั้น เต็มไปด้วยแรงสังหาร

คราวนี้ ทุกคนต่างก็เงียบไม่กล้าพูด

ไอ้แก่หวงที่แก่ชราคนนี้ ราศีที่แปร่งประกายออกมานั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้น ให้ความกดดันในใจอย่างมหาศาลแต่ชายหนุ่มนักเลงกลุ่มนั้น

พวกเขาไม่สงสัย พูดมากอีกคำเดียว หวงชิงซานต้องทำให้พวกเขาตายแน่

นี่เป็นราศีของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า คำพูดเดียว เหมือนดั่งฟ้าแลบเข้าที่หัวใจของพวกเขา ไม่กล้าสงสัย

“ฉัน…….พวกแกอย่าทำเกินไปนะ ฉันไม่สนว่าพวกเธอจะเป็นคนโหดมาจากไหน ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้ทางที่ดีก็ให้ฉันเบาๆหน่อยนะ” เชี่ยจุนพูดอย่างเคร่งขรึม

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ลูกน้องของฉันที่อยู่ข้างนอกต้องซ้อมพวกแกจนพิการแน่”

“อีกอย่าง ฉันบอกแกก็ได้ พี่ใหญ่ฉันคือซื่อไท่

เชี่ยจุนบอกชื่อออกมาด้วยความมั่นใจ

“ซื่อไท่?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว มองไปที่เชี่ยจุน

“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ของฉันก็คือหัวหน้าใหญ่ในเขตเมืองเก่า ซื่อไท่” เชี่ยจุนพูดอย่างมั่นใจ “ดูท่าแล้วแกคงเคยได้ยินใช่ไหม? คิดให้ดีนะ ว่าคนนี้แกกล้ามีเรื่องกับเขาไหม”

เขาพบว่าหลินอิ่งเหมือนเคยได้ยินชื่อเสียงของซื่อไท่ ในใจก็มีความมั่นใจขึ้นมาอย่างเต็มที่

เพราะว่า ในเขตเมืองเก่าของตี้จิง ซื่อไท่เป็นถึงผู้นำคนแรกในโลกแห่งความมืด

ซื่อไท่ไม่เพียงแค่มีอำนาจในเขตเมืองเก่า ยังเป็นมีอำนาจในแวดวงตี้จิงทั้งหมด คนในวงการเรียกลูกน้องของหัวหน้าใหญ่เขตจงเทียนหยูจื๋อเฉิงว่านักฆ่าราชาทั้งสี่ แต่ละคนต่างก็หัวหน้าที่มีอำนาจใหญ่โตในตี้จิง ซื่อไท่ก็คือหนึ่งในนั้น

“ไอ้หนุ่ม แกกลัวแล้วใช่ไหม? ไม่ว่าแกมีที่มาใหญ่แค่ไหน ในเขตเมืองเก่าก็ระวังหน่อย ลูกพี่ฉันซื่อไท่ เป็นถึงคนสนิทของหัวหน้าหยู หัวหน้าหยูเขตจงเทียนนั่นเป็นพี่ใหญ่ฉัน อยู่ในตี้จิงนี้ เกรงว่าคงไม่มีคนไม่รู้จักมั้ง? นั่นมันหัวหน้าใหญ่ที่ติดตามตระกูลฉี”

เชี่ยจุนพูดอย่างมั่นใจ รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองจะทำให้หลินอิ่งหวั่นไหวได้

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดเสียงเรียบ “ซื่อไท่ใช่ไหม? ได้เลย ฉันให้ลูกพี่นายมาจัดการนาย”

เขาจำชื่อของซื่อไท่ได้ หนึ่งในคนสนิททั้งสี่ที่อยู่ข้างกายหยูจื๋อเฉิง แต่ไม่ได้ไปทำงานให้เขาบ่อยเหมือนถังฮุยและถูซาน

ตอนแรก จี้ฉงซานก่อเรื่องที่ตี้จิง ตอนที่จับตัวหยูจื๋อเฉิง ส่งโลงศพมาให้เขาโลงหนึ่ง คนที่นอนบาดเจ็บอยู่ข้างในก็คือซื่อไท่ ยังเคยเจอหน้ากับเขาแล้ว

ซื่อไท่ดูแล้วก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดอะไร ไม่รู้ว่าทำไมถึงสอนลูกน้องไร้ประโยชน์กลุ่มนี้ออกมาได้ยังไง หรืออาจจะต้องจัดระเบียบใหม่แล้ว

คิดไปแล้ว หลินอิ่งก็หยิบมือถือล็อกรหัสมากดเบอร์โทรออก

“ท่านอิ่ง ท่านมีอะไรต้องการสั่งครับ?” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงอันหนักแน่นและตื่นเต้น

“ซื่อไท่ คุณมีลูกน้องคนหนึ่งชื่อเชี่ยจุนใช่ไหม?”

“ท่านอิ่ง ใช่ครับ ผมมีลูกน้องชื่อนี้” ซื่อไท่พูดอย่างตื่นเต้น และระมัดระวัง

“คุณรีบมาที่ร้านอาหารจ้วยเจียงซานในซอยหยกมณีเดี๋ยวนี้”

สั่งเรียบร้อยแล้ว หลินอิ่งก็วางสาย

ถ้าหากไม่ใช่คนของซื่อไท่ เขาจะจัดการก่อนแล้วค่อยพูด

แต่เพราะว่าเป็นลูกน้องของซื่อไท่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ซื่อไท่มาจัดการด้วยตัวเอง เขาก็ต้องจัดระเบียบดีๆแล้ว

“อะไรนะ? แกยังรู้จักพี่ใหญ่ฉัน?” เชี่ยจุนตกใจ มองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ

“แกยังกล้ามาขู่ฉัน? แกคิดว่าแกเป็นใคร ในเขตเมืองเก่ามีใครกล้าพูดจาแบบนี้กับพี่ใหญ่ของฉัน? แกคิดว่าแค่โทรศัพท์ก็จะขู่ฉันได้เหรอ?” เชี่ยจุนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเย็นชา คิดเพียงว่าหลินอิ่งแสดงละครเท่านั้น

“แสดงเก่งจริงนัก โทรศัพท์สายเดียวก็เรียกคนใหญ่โตอย่างลูกพี่ซื่อมาได้? ยังกล้าวางสายลูกพี่ซื่อก่อนอีก?”

“แม่งเอ้ย พี่เชี่ย ผมทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว ไอ้หนุ่มนี่อวดดีนัก พี่เชี่ย พี่ยังทนได้อีก? อย่างมากก็จัดการตรงนี้เลย ใช้ปืนยิงมันทิ้งเลย”

คราวนี้ ลูกน้องของเชี่ยจุนทุกคนต่างพากันตะโกนอย่างอวดดี ดูเหมือนทนกันไม่ไหวแล้ว

ติ๊ดติ๊ด

เวลานี้ มือถือในกระเป๋าของเชี่ยจุนดังขึ้น

เชี่ยจุนดูเบอร์โทรศัพท์ที่แสดง จากนั้นก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหวาดกลัว รับโทรศัพท์ขึ้นมา ด้วยมือสั่น

“ซื่อ ลูกพี่ซื่อ พี่…….พี่หาผมมีเรื่องอะไรครับ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท