ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 563 เรียกผู้ปกครอง

บทที่ 563 เรียกผู้ปกครอง

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

ณ. โรงแรมจงเทียน หลินอิ่งลงจากรถ พาฮาเดสขึ้นไปชั้นบน ตรงไปที่ห้องทำงานประธาน

ที่หน้าห้องทำงาน เย่เฮยกับหวงชิงซานยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“คุณชายอิ่ง”หวงชิงซานพูดอย่างนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านเรียกระดมพวกเรามาเป็นการด่วนนี้ มีอะไรจะให้จัดการหรือครับ?”

หลินอิ่ง ล้วงกล่องดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โยนให้หวงชิงซาน พูดขึ้นว่า “ในนี้มีรายละเอียดเส้นทางและที่อยู่ของสองผู้พิทักษ์สำนักยุทธ์เชียน พวกท่านดูรายละเอียดในรายงานแล้ว คืนนี้ตรงไปลงมือจับไอ้คนต้าเหอสองคนนี้เลย”

“ผู้พิทักษ์ของสำนักยุทธ์เชียน?”หวงชิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม

เขาเคยมีความเกี่ยวพันกับสำนักยุทธ์เชียนอยู่ สมาชิกระดับผู้พิทักษ์ ฝีมือเชิงบูโดนั้นแข็งแกร่งเอาการ

“ไม่ผิด”หลินอิ่งกำชับอีกว่า “นี่เป็นข้อมูลรายงานล่าสุดที่ฉันได้มา ช้าไปจะเสียการ จะต้องรีบลงมือจับให้ได้ และต้องจับเป็น”

รายงานฉบับนี้เป็นเอกสารที่ได้มาจากมือจ้าวเฉิงเฉียน

นี้แสดงว่า จ้าวเฉิงเฉียนจับตามองพวกคนต้าเหอมานานแล้ว

เราเองเพิ่งได้รับข้อมูลนี้มา จะต้องเร่งลงมืออย่างด่วนที่สุด มิฉะนั้น ด้วยความเจ้าเล่ห์ของพวกต้าเหอ พอถ้าคนของจ้าวเฉิงเฉียนถอนการเฝ้าจับตาออก พวกเรายังไม่ทันเข้ารับช่วงต่อ เป็นไปได้ว่าจะพลาดหลุดได้

“ผมได้จัดวางกำลังคนไว้แล้วครับ พร้อมปฏิบัติการได้ทันที”เย่เฮยพูด

“คุณชายอิ่ง ผมก็พร้อมปฏิบัติการได้ทันทีครับ”หวงชิงซานพูดด้วยสีหน้าขรึม น้ำเสียงค่อนข้างเครียด

เขารู้ดีว่า นี้เป็นภาระกิจสำคัญชิ้นแรกที่หลินอิ่งมอบให้เขา

ก่อนหน้านี้ หลินอิ่งที่เคยมอบให้เขาจับตาคนต้าเหอมาหลายกลุ่ม ยังจัดไม่ได้ว่ามีความแข็งแกร่ง ขอเพียงต้องการ นาทีไหนนาทีนั้นก็สามารถถล่มปิดเกมส์ได้

แต่มาผู้พิทักษ์ของสำนักยุทธ์เชียนนี่สิ มองข้ามเป็นเรื่องเล็กไม่ได้เลย

“คืนนี้ ฉันจะไปกำกับเอง”หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ท่านผู้เฒ่าหวง ท่านช่วยไปดูรายละเอียดของข้อมูลให้จบก่อน ปล่อยให้พวกมันเดินทางเข้าจุดเป้าหมายก่อน”

“ได้ครับ”

หวงชิงซานรับคำสั่งแล้ว นำเอากล่องดำเดินเข้าห้องทำงาน เตรียมรวบรวมเอาข้อมูลทั้งหมดในนั้นออกมา

ตี๊ดๆๆๆ…

ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เฮยดังขึ้น เขามองไปที่หน้าจอ แววตาส่อความลังเล

“คุณชายอิ่ง นี่……”เย่เฮยถามอย่างระมัดระวังคำพูด

หลินอิ่งแปลกใจนิดๆ มองหน้าเย่เฮย ถามว่า “โทรศัพท์ใครหรือ?”

มันเป็นโทรศัพท์เข้ารหัสเฉพาะของเย่เฮย ปกติเขาจะเก็บตัวในที่ลับ จะไม่มีการติดต่อกับคนภายนอกเลย แล้วจะมีโทรศัพท์เข้ามาหาเขาได้อย่างไร

“คือ เป็นโทรศัพท์จากหยังสู้สู้ ครับ”เย่เฮยพูดอย่างเคร่งขรึม “ครั้งที่แล้วที่ท่านกลับมาจากเมืองก่าง ได้ให้หล่อนเข้าเรียนที่ตี้จิง ผมมาตี้จิงเที่ยวนี้ เคยได้ไปเยี่ยมสาวน้อยคนนี้”

หลินอิ่งผงกหัว พูดว่า “รับเลย”

ถ้าเย่เฮยไม่พูดถึง เขาก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

หลังจากกลับมาตี้จิง เรื่องมันช่างมากเหลือเกิน จัดยังไงก็ไม่ยอมจบ

สาวน้อยหยังสู้สู้คนนี้นั้น เมื่อครั้งที่ตัวเองได้ไปเมืองก่างเพื่อพบหยังสวนเจิง ก็เลยได้พาหล่อนกลับมาให้เข้าเรียนที่ตี้จิง โดยได้ให้ถูซานช่วยจัดการดูแลให้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่ดีๆ

ลูกสาวของหยังสวนเจิงคนนี้ ไม่มีญาติอีกเลยในโลกใบนี้ จะนับไปก็คงเย่เฮยที่เป็นญาติที่สนิทที่สุด

“ฮัลโหล สู้สู้ หนูโทรมาหาอา มีเรื่องไรหรือ?”เย่เฮยรับโทรศัพท์ พูดทักถามกลับไป

“ฮือๆๆ…..คุณอาเย่ ท่านมาที่โรงเรียนหน่อยได้ไหมคะ? คุณครูบอกให้หนูตามให้ผู้ปกครองมาพบ ค่ะ”

“นี่? มันเรื่องอะไรหรือ?”เย่เฮยถามอย่างฉงน

“คุณเป็นผู้ปกครองหยังสู้สู้หรือ? ช่วยรีบมาที่โรงเรียนอย่างด่วนเลย เด็กของคุณทำเรื่องเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”ทันใดกลายเป็นเสียงผู้ชายกลางคน น้ำเสียงข่มขู่อย่างโอหัง

“คุณเป็นใคร? “เย่เฮยถามกลับอย่างเกรี้ยวกราด

“ยัยลูกหลานโง่เง่าของแกมาทุบตีลูกข้า แกเป็นผู้ปกครอง จะให้ดีวันนี้แกจะต้องมาขอโทษข้า!”

ตื๊ดด…

โทรศัพท์ถูกตัดสาย

“นี่….? คุณชายอิ่ง ท่านดูมัน….”เย่เฮยถามด้วยความรู้สึกเครียด

หลินอิ่ง ขมวดคิ้วย่น เขาก็ได้ยินเรื่องราวจากเสียงในโทรศัพท์

เรื่องของสาวน้อยคนนี้ เขาจะต้องจัดการ

หยังสวนเจิงกับท่านอาจารย์ มีความสัมพันธ์ผูกพันกันฉันพี่น้องกัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่หยังสู้สู้ เก็บความลับไว้อย่างไม่คิดชีวิต ตัวเองก็คงหาเย่เฮยไม่พบ และคงไม่มีปัญญารวบรวมองครักษ์มังกรดำที่แตกกระจายไปแล้วให้กลับมาได้

“คุณชายอิ่ง หรือไม่งั้น ให้ผมสั่งลูกน้องเข้าไปจัดการสักคน จะได้ดูความเป็นอยู่ที่โรงเรียนของสู้สู้”เย่เฮยถามขอความเห็น

“ฉันไปเองสักเที่ยวดีกว่า”หลินอิ่งกล่าว

“แกกับผู้เฒ่าหวง นำกำลังคนเข้าประจำที่ไปก่อน ฉันไปที่โรงเรียนจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบตามไป”

หลินอิ่งสั่งการ

“ครับ ขอรับปฏิบัติการตามคำสั่ง”เย่เฮยผงกหัวด้วยความเคารพ และก็ให้รู้สึกวางใจ

เย่เฮยถือว่าเป็นลูกศิษย์ของหยังสวนเจิงอยู่ครึ่งหนึ่ง บุญคุณมากล้น และก็มีความห่วงกังวลในตัวสาวน้อยนี้อยู่ เมื่อประธานรับปากไปเอง ในใจก็ย่อมให้รู้สึกอุ่นใจได้

ขณะเดียวกันนั้น หวงชิงซันเดินออกมาจากห้องทำงาน

“คุณชายอิ่ง ข้อมูลในรายงานทั้งหมดผมได้เคลียร์แล้วครับ พิกัดล็อกไว้เรียบร้อย”หวงชิงซานรายงาน

“ท่านกับเย่เฮย นำคนล่วงหน้าไปก่อน ถ้าเห็นจังหวะเหมาะสม มีความมั่นใจ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานฉัน ชิงลงมือกันได้เลย”หลินอิ่งสั่งกำชับ “ถ้าไม่มั่นใจ ก็ให้รอฉันมาถึงก่อน”

พูดจบ หลินอิ่งก็เดินนำฮาเดส เลี้ยวลงข้างล่างออกไป

ที่หลินอิ่งทำแบบนี้ ก็มีเรื่องต้องตระหนักอยู่ในใจ

ถึงยังไง หยังสู้สู้ เด็กผู้หญิงคนนี้ อายุก็ยังน้อยอยู่มาก และก็ไม่มีญาติหลงเหลืออยู่ในโลกนี้อีก เป็นคนอื่น หล่อนคงไม่ไว้ใจ ตัวเองจะได้เข้าไปเยี่ยมและดูสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงว่าหล่อนอยู่ในสภาพอย่างไร

……

เขตเมืองเก่า โรงเรียนชิงถึงแห่งตี้จิง

นี้เป็นโรงเรียนเอกชนระดับสูงแห่งหนึ่ง ภายในโรงเรียน ส่วนประกอบทุกด้านล้วนเป็นอุปกรณ์ระดับสุดยอด สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม ตั้งอยู่ในทำเลที่เจริญที่สุดของย่านเมืองเก่า ถูกจัดว่าเป็นโรงเรียนระดับคนชั้นสูงของตี้จิง

ตั้งแต่ต้น เป็นโรงเรียนประถมศึกษาที่หลินอิ่งกำหนดให้หยังสู้สู้ ซึ่งอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 มาอยู่

ณ.ขณะนั้น ที่ห้องธุรการ แผนกประถมศึกษา สถาบันชิงถึง

เด็กนักเรียนหญิงยืนสะอื้นคนหนึ่ง ใบหน้าแสดงออกเต็มไปด้วยความน้อยใจ น้ำตาไหลนองแก้มที่มีรอยนิ้วมือแดงชัดห้านิ้ว

ในห้องสำนักงาน ครูสตรีคนหนึ่งยืนอยู่กับสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง เด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนมองเด็กสาวตรงมุมห้องด้วยสายตาทะเล้นอย่างสะใจ

“อาจารย์หลี ไอ้ผู้ปกครองของหยังสู้สู้คนนี้มันจะมาหรือเปล่านะ? โทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับละ มันหมายความว่ายังไง? เด็กของตัวเองทำผิด แล้วก็ทำเป็นไม่รับผิดชอบงั้นหรือ?”ผู้หญิงคนที่แวววาวไปด้วยมณีประดับเต็มตัว มองครูผู้หญิงนั้นอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉันเหมือนกับได้ยินว่าเด็กโง่เง่าคนนี้ไม่มีพ่อแม่ไม่ใช่หรือ?”ผู้ชายวัยกลางคนพูดเหยียดๆ ขึ้นมา “มิน่าดูเป็นเด็กไม่ได้รับการสั่งสอนแม้แต่น้อยนิด เพราะไม่มีคนสั่งสอน เป็นเด็กผู้หญิงอะไร ทำลูกข้าถึงขนาดนี้ หน้าโดนข่วนซะลาย”

“อืม์ ฮึ…”อาจารย์หลีกระแอมออกมาเล็กน้อย “ค่ะ ท่านประธานหู ท่านทั้งสองใจเย็นๆ ค่ะ ดิฉันกำลังดูข้อมูลของหยังสู้สู้ เด็กคนนี้ ไม่มีที่ติดต่อของพ่อแม่ เมื่อตะกี้ที่ให้หล่อนติดต่อโทรศัพท์ไป คนที่บ้านหล่อนต้องมาแน่ๆ ค่ะ”

“คนที่บ้านมันจะต้องมา ลูกชายข้าหูบา โดนข่วนหน้าลาย อีกหน่อยจะต้องขายหน้าไปถึงไหน”ผู้ชายแซ่หูในชุดสากลขู่ตะคอกใส่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท