ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 571 ยอดฝีมือประลองฝีมือ

บทที่ 571 ยอดฝีมือประลองฝีมือ

เย่เฮยและหวงชิงซานสีหน้าเย็นชา จ้องมองคนต้าเหอสองคนที่ใส่หน้ากากผี

“พูดมา พวกแกเป็นใคร?”คนต้าเหอใส่หน้ากาก พูดด้วยสายตาโหดเหี้ยม

เย่เฮยรักษาความสงบ ดูเหมือนว่ากำลังสังเกตพฤติกรรมของคนต้าเหอพวกนี้

คนต้าเหอชุดดำประมาณสิบกว่าคน ในมือทุกคนต่างก็ถือมีดยาวคมกริบไว้ บนมีดนั้นมีรอยแกะสลักรูปดอกเบญจมาศอย่างประณีต

“ผู้ปกปักรักษาสองคนจากสำนักยุทธเชียน รหัสชื่อว่า จั่วฉวน จั่วซง?”หวงชิงซานเปิดปากพูด มองทั้งสองอย่างเย็นชา

“อือ?”จั่วฉวนแววตาประกายเย็นชา ส่อแววสังหาร

“แกรู้รหัสชื่อของพวกเรา? น่าสนใจ”จั่วฉวนดูเหมือนเริ่มสงสัย พูดอย่างคาดเดา “พวกแกเป็นคนแก๊งหยางเหมิน?”

“แก๊งหยางเหมินของพวกแกทำเรื่องของเราพังตั้งแต่เมืองเกาหยาง ทำไม ยังกล้ามาไล่ฆ่าพวกเราอีก?”จั่วซงก็พูดอย่างเย็นชา

จั่วซงและจั่วฉวน ทั้งสองต่างก็เป็นผู้นำระดับสูงในประเทศหลุงของสำนักยุทธเชียนแห่งประเทศต้าเหอ ระดับผู้ปกปักรักษารองมาจากผู้นำกงจิ่ว

เข้าร่วมการจัดวางแผนการสำคัญระดับใหญ่หลายอย่าง

เพราะฉะนั้น วินาทีที่ถูกเย่เฮยไล่ฆ่ามาถึงที่

สิ่งที่พวกเขาเชื่อมโยงได้ก็คือ แก๊งหยางเหมิน

เพราะความขัดแย้งในตระกูลกงซุนมณฑลเกาหยาง สำนักยุทธเชียนถลำลึกเกินไป เคยปะทะกันซึ่งๆหน้ากับแก๊งหยางเหมิน จึงมีความบาดหมางกัน

อีกอย่าง แก๊งหยางเหมินรู้รากฐานเบื้องหลังของสำนักยุทธเชียน รู้รหัสชื่อของพวกเขาสองคน

นอกจากนี้แล้ว อำนาจลึกลับอื่นในประเทศหลุงก็ไม่มีใครว่างจนไม่มีอะไรทำ ไล่ฆ่ามาหาเรื่องถึงที่

“เหอะ แกค่อยๆเดาไปละกัน”

เย่เฮยก็หัวเราะเย็นชา แล้วโบกมือแรง ทันใดนั้น ลูกน้องผู้เก่งกล้าทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งเข้าไป

“ไอ้สารเลว รนหาที่ตาย”

จั่วฉวนตะโกนด่า โบกมือเช่นกัน คนต้าเหอถือมีดลายเบญจมาศหลายคนที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งเข้าไปดั่งเงามืด

เสียงฮวั๊ก ลูกน้องของทั้งสองฝ่าย ปะทะกันซึ่งๆหน้า

ภายในสถานที่นั้นเห็นเพียงเงาร่างสิบกว่าร่างปะทะกันไปมา ทั้งแสงมีดเงาดาบ แรงสังหารอันน่ากลัว

ส่วนจั่วซงและจั่วฉวน ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย

เย่เฮยและหวงชิงซาน ก็ไม่ได้ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว จ้องคนต้าเหอทั้งสองตาไม่กะพริบ

การแข่งขันของยอดฝีมือก็คือแบบนี้

พวกเขาต่างก็รอเวลา ค้นหาช่องโหว่ของฝ่ายตรงข้าม ก็เหมือนสถานการณ์ก่อนสิงโตล่าเหยื่อ รอแค่เวลาลงมือ กระโจมฆ่าเหยื่อในเสี้ยววินาที

ผ่านไปครู่หนึ่ง

ผ่านไปประมาณสามนาที

จั่วฉวนและจั่วซงจับฝักมีดไว้ ทนรอไม่ไหวแล้ว จังหวะลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น

“ท่านปู่หวง ท่านจัดการคนฝั่งขวา ผมจัดการคนฝั่งซ้าย”

เย่เฮยพูดอย่างจริงจัง

วินาทีที่พูดจบ

ร่างของเย่เฮยพุ่งเข้าไปเหมือนดั่งลมกระโชก ออกมือทั้งสองข้าง ท่าทางราวกับล่าฆ่าเสื้อผู้ดุร้าย ระหว่างการเปลี่ยนหมัดเหมือนดั่งพายุสะเทือน อากาศแผดเสียงก้อง เสียงดังกึกก้อง

กริ๊งกริ๊งตั๊กตั๊ก

จั่วฉวนสะบัดมีดลายเบญจมาศออกมา ตวัดมีดออกไปแต่ละทีก็เป็นแสงอันแรงกล้า ฟันลงไปที่ถุงมือเย่เฮย แม่นยำและโหดเหี้ยม

ทั้งสองปะทะกัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิดนั้นแสงไฟระยิบขึ้นมาทันที และยิ่งมีเสียงการกระทบกันของโลหะไม่ขาดสาย

อีกด้านหนึ่ง หวงชิงซานกำลังปะทะอยู่กับจั่วซง

สิ่งที่หวงชิงซานใช้คือฝ่ามือมีดและหมัด วิชาหมัดอันหนักหน่วง ฝ่ามือมีดอันดุเดือด กลับสามารถใช้เนื้อหนังปะทะกับมีดลายเบญจมาศอันคมกริบในมือของจั่วซง เห็นได้ว่าวิชาความสามารถนั้นแน่นหนาขนาดไหน

แค่ครู่เดียว ยอดฝีมือทั้งสี่สู้ฟันกัน ร่างเคลื่อนไหวไปๆมาๆไม่อยู่กับที่ ภายในอาคารร้าง ชนผนังคอนกรีตและละด้านพังโดยไม่ตั้งใจ เหยียบพื้นคอนกรีตบนพื้นจนแตก

เวลาเดียวกัน

ภายในอาคารร้างแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปร้อยเมตร ภายในชั้นใดชั้นหนึ่ง คนที่สายตาดี เห็นการปะทะฝีมือระหว่างเย่เฮยและจั่วฉวนพอดี

ภายในชั้นนั้น มีชายหนุ่มในชุดคอจีนยืนเรียงกันประมาณสิบกว่าคน ตรงกลางมีเก้าอี้ปรมาจารย์วางอยู่ตัวหนึ่ง

จ้าวเฉิงเฉียนใส่ชุดคอจีนสีขาว ในมือจับแก้วน้ำชา หรี่ตาดูสถานการณ์การสู้รบในที่ไกล

ข้างกายเขา ยังมีหม่าผิงชวนและเผยหวูหมิง

“นายน้อย คนของหลินอิ่งและผู้ปกปักรักษาสองคนของสำนักยุทธเชียน ประมือกันแล้ว หลินอิ่งเจ้าตัวไม่ได้แสดงตัว”หม่าผิงชวนวางกล้องโทรทรรศน์กลางคืนสำหรับทหาร รายงานอย่างจริงจัง

จ้าวเฉิงเฉียนแววตากะพริบอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ละแวกนี้สำรวจชัดเจนแล้วใช่ไหม? แน่ใจว่าหลินอิ่งไม่ได้นั่งบัญชาการในเหตุการณ์?”

“สำรวจชัดเจนแล้วครับ”หม่าผิงชวนพูดอย่างจริงจัง “ดูสถานการณ์แล้ว หลินอิ่งไม่ได้มาด้วยซ้ำ มอบหมายงานให้ลูกน้องสองคนทำอย่างไว้ใจ”​

“มั่นใจขนาดนี้เหรอ จัดการกับผู้ปกปักรักษาสองคนที่ความสามารถแข็งแกร่งของสำนักยุทธเชียน เจ้าตัวไม่มาดูแม้แต่นิดเดียว?”จ้าวเฉิงเฉียนจีบน้ำชาไปคำหนึ่ง พูดอย่างใจเย็น

“เพิ่งปะทะฝีมือกัน ดูสถานการณ์แล้ว ลูกน้องสองคนของหลินอิ่ง ไม่ได้แพ้คนต้าเหอพวกนั้นเลย ฝีมือยังอยู่เหนือกว่าด้วยซ้ำ”หม่าผิงชวนพูดด้วยสีหน้าจริงใจ

“เหล่าหม่า ถ้าหากให้คุณกับเผยหวูหมิงไปจัดการจั่วฉวนและจั่วซง พวกคุณมีความมั่นใจในชัยชนะแค่ไหน?”จ้าวเฉิงเฉียนถามอย่างเคร่งขรึม

“นี่…….นายน้อย ถ้าหากผมและเผยหวูหมิงต้องใช้ความสามารถทั้งหมดล่ะก็ หากพูดว่าเปอร์เซ็นต์ชัยชนะ พวกเรามีเปอร์เซ็นต์ชนะหกสิบ คนต้าเหอสองคนนี้สี่สิบ”หม่าผิงชวนพูดวิเคราะห์ “น่าจะไล่เลี่ยกัน”

“แต่ว่า พวกเราสองคนไม่มีความมั่นใจว่าจะจับตัวคนต้าเหอสองคนนี้ไว้ได้ สองคนนี้ถึงจะสู้ไม่ไหว ก็สามารถเอาตัวรอดต่อหน้าเราสองคนได้”หม่าผิงชวนพูดอย่างจริงจัง “ถ้าหากนายน้อยท่านลงมือเอง นั่นก็จัดการได้อย่างง่ายดาย”

จ้าวเฉิงเฉียนไม่ได้รับคำ จ้องมองสถานการณ์การสู้รบ จับแก้วน้ำชาไว้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“นายน้อย ความจริงผมไม่เข้าใจการกระทำของหลินอิ่ง เขายอมแบ่งผลประโยชน์ของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง มาแลกเปลี่ยนกับข่าวกรองในมือนายน้อย แต่ทำไมหลังจากได้รับข่าวกรองแล้ว ก็ลงมืออย่างรีบร้อนแบบนี้?”เผยหวูหมิงพูดอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าหากไม่สามารถจับตัวจั่วฉวนสองคนนี้ได้ ให้พวกเขาหนีไปได้ นั่นไม่ใช่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ?”

จ้าวเฉิงเฉียนหัวเราะ พูดว่า “นี่ก็เป็นจุดที่ผมสงสัยเหมือนกัน”

“เท่าที่ฉันรู้จักหลินอิ่ง คนคนนี้ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่จำเป็น และไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “เขากล้าให้คนข้างกายลงมือ นั่นก็หมายความว่า มีความมั่นใจเพียงพอในตัวสองคนนี้”

“เพราะฉะนั้น ฉันสงสัยมาก ว่าสองคนนี้มีเบื้องหลังความเป็นมายังไง”​

“ก็ใช่……นายน้อยพูดถูก”หม่าผิงชวนพูดอย่างคิดอะไรอยู่ “แต่ว่าต้องมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาด ในการจับตัวจั่วฉวนสองคนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินสองคนกระมัง?”

“เมื่อกี้ผมสังเกตอยู่สักพัก ดูเบื้องหลังวิชาการต่อสู้ของสองคนนี้ไม่ออกเลย วิชาของทั้งสองไม่เหมือนกันเลย น่าจะไม่ได้มาจากสำนักเดียวกัน”หม่าผิงชวนพูดวิเคราะห์ “ส่วนยอดฝีมือระดับรายการดินขึ้นไป คนที่มีชื่อในรายการ ผมล้วนศึกษามาหมดแล้ว โดยพื้นฐานแล้วสามารถตัดสินเบื้องหลังวิชาการต่อสู้ได้”

“แต่ว่าสองคนนี้ ผมดูล่องลอยไม่ออกเลยแม้แต่น้อย”หม่าผิงชวนถอนหายใจพูด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท