ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 566 ใบหน้ามูลค่าห้าล้าน?

บทที่ 566 ใบหน้ามูลค่าห้าล้าน?

“เอาอย่างนี้ละกัน ในเมื่ออยู่ในสถานที่ที่เป็นโรงเรียน กูก็คุยกับแกอย่างนี้ละกัน”หูบาแจงเนิบๆ “ยัยเด็กหน้าโง่ที่แกเป็นผู้ดูแลนั่น มันมาทำหน้าลูกของข้าบาดเป็นแผล เอาง่ายๆ จ่ายตังค์”

“จ่ายตังค์เสร็จ ขอขมา ข้าก็จะปล่อยให้แกออกจากโรงเรียนนี้ไปได้”หูบามองหน้าหลินอิ่งเย้ยๆ “ถ้าหากทำให้ข้าสบายใจ ก็จะพิจารณาปล่อยแกไป เปิดทางรอดให้แก”

หลิ่นอิ่งสีหน้าเฉยเป็นปกติ พูดว่า “จ่ายเงิน? ก็ได้ คุณจะเอาเท่าไหร่?”

“อุว้าว? เด็กน้อยกลัวมีเรื่อง? ดีมาก รู้เรื่องดี”หูบายิ้มยะเยือก ในใจรู้สึกได้ว่าหลินอิ่งคงเห็นบอดี้การ์ดของตนแล้ว เกิดกลัวต้องยอมสยบ

“เห็นแก่ว่าเด็กน้อยอย่างแกมีสำนึกที่น่าเอ็นดูอยู่บ้าง งั้นก็จะให้โอกาสแก ลูกของข้านั้นมีค่าดุจทอง มาโดนบาดเป็นแผลที่หน้า แกจ่ายมา 5 ล้านก็แล้วกันถือว่าเรื่องจบกัน”เมียของหูบาพูด ราวกับว่าจ่าย 5 ล้านนี้เป็นการสมเหตุสมผล

“ยอมให้แกจ่าย 5 ล้านเป็นค่ายารักษาและค่าทำขวัญนะ ปล่อยให้ไอ้เด็กน้อยอย่างแกมีจุดที่ลง อย่ามาอิดออดไม่พอใจ”หูบาพูดข่มเสียงเกรี้ยว “ถ้าแกไม่จ่ายไม่ขอขมา ทำให้ข้าเดือดแค้นละก็ ตอนนั้นแกอาจต้องจ่ายถึงชีวิตก็เป็นได้!”

“ท่านประธานหู ท่านก็จะเป็นการทำให้เขาลำบากใจละมั้ง ดูสภาพเขาแบบนี้นะ จะจ่ายได้ถึง 5 ล้าน”อาจารย์หลีมองหลินอิ่งอย่างสมเพช พูดประจบอยู่ข้างๆ

“อาจารย์หลี เธอก็พูดถูกนะ สมแล้วที่มีความรู้เป็นครูบาอาจารย์ พูดจามีระดับ”หูปาพูดเย้ยเยาะมองหน้าหลินอิ่งแล้วพูดต่อ “5 ล้านจะจ่ายไหวไหมหนอ? ว่ากันตามเหตุผลนะ แกสามารถส่งยัยเด็กนี่มาเรียนโรงเรียนระดับนี้ได้ คงก็น่าจะไหวมั้ง ถ้าไม่ไหวก็บอกมาตรงๆ ข้าจะได้วางแบบจัดการกับแกให้เหมาะสม”

“ตบหน้าลูกคุณ ต้องจ่าย ห้า ล้าน ถูกต้องนะ?”หลินอิ่งพูดเนิบๆ

“ถูกต้อง ฟังไม่ผิด ห้าล้าน!”เมียหูบาพูดพร้อมยิ้มอย่างเย้ยเยาะ

“ขอเลขบัตรเครดิตธนาคารของคุณหน่อย”หลินอิ่งพูดเนิบๆ

“ฮ่า?”หูบามองหลินอิ่งอย่างพิเคราะห์ด้วยอารมณ์สนุก ก็ไม่รู้หลินอิ่งคิดอะไรอยู่

เขาก็คิดแค่ตั้งใจหยอกเย้ากวนประสาทหลินอิ่งเล่น ไม่คิดว่าไอ้หน้าซื่อบื้อคนนี้เตรียมจะจ่ายเงินให้จริงๆ มันน่าสนุกแล้วสิ

ว่าไปพลาง เมียหูบาก็ยื่นส่งการ์ดธนาคารให้หลินอิ่ง

หลินอิ่งควักโทรศัพท์ออกมา กดโอนเงินไป

ติ๊ง

“อื๋อน์?”เสียงเครื่องโทรศัพท์ของหูบาดังขึ้นทีหนึ่ง เขายกโทรศัพท์ขึ้นดู ฉับพลัน สีหน้าแสดงออกอาการตื่น

“หนึ่งร้อยล้าน? ฮ่าๆๆๆๆ!ไอ้หนู แกนี่ดูมีตระกูลไม่เบาเลยนะ ใช้ได้ๆ มีอนาคต”หูบาพูดหยอกแกมเย้ย แววตาอิ่มเอิบด้วยความโลภ

“อะไรนะ? คุณผัว มันโอนมาให้เท่าไหร่นะ?”เมียหูบารีบเดินเข้ามาดูเองด้วยตา ตามมาด้วยความดีใจออกนอกหน้า

ใช่แล้ว หลินอิ่งโอนเงินไปให้หนึ่งร้อยล้าน

“ถือว่าไอ้หนูแกนี่ตายังมีแวว แกคงรู้แล้วสินะว่าข้าหูบาเป็นใคร เหอะๆๆ”หูบาหัวเราะอย่างสะใจ “เห็นว่าแกยังเป็นคนรู้ดี เรื่องวันนี้ เป็นอันถือว่าจบเรียบร้อย ต่อไปนี่ กลับไปสั่งสอนยัยเด็กคนนี้ให้ดีๆ หละ”

“ไป คุณเมีย เรากลับบ้านกันเถอะ”หูบาลุกขึ้นอย่างอารมณ์ดี ดึงเมียจูงลูกเตรียมจากไป

“มันไอ้หน้าโง่แท้จริงเชียว เวรกรรมมัน”เมียของหูบาพูดเยาะ

“เหอะๆ ..”หูบาก็หัวเราะตาม มองหน้าหลินอิ่งด้วยสายตาสมเพช

ในใจเขาทั้งสองยังเข้าใจว่า หลินอิ่งคนนี้คงมีปัญหาทางสมอง

ไม่รู้มหาเศรษฐีคนไหนในตี้จิงมีลูกปัญญาอ่อนผลาญตระกูลแบบนี้ออกมา

หนึ่งร้อยล้าน สำหรับหูบา เศรษฐีระดับพันล้านอย่างเขา อาจไม่ถือว่าจะเป็นลาภกำไรมากมาย

แต่ ก็เป็นลาภลอยเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าดีใจอย่างยิ่ง

หูบาสองผัวเมียกำลังจะเดินจากไปอย่างลิงโลด ทันใดนั้น หลินอิ่งยื่นมือออกขวาง

“ทำอะไรของแก?”หูบามองหน้าหลินอิ่งตะคอกถามเสียงเย็นชา

“หยังสู้สู้ ตีลูกคุณ เงิน ผมจ่ายให้คุณแล้ว”หลินอิ่งพูดเรียบๆ “แต่ ที่เมียคุณตบหยังสู้สู้ เรื่องนี้ ยังไม่ได้เคลียร์”

“ยังอีกเรื่องหนึ่ง หน้าของลูกคุณมีค่า 5 ล้าน ใช่ไหม? ผมจ่ายให้คุณ หนึ่งร้อยล้าน”หลินอิ่งมองหน้าหูบาอย่างเยือกเย็น “เพราะฉะนั้น ลูกของคุณ ยังค้างให้โดนตบอีก 19 ครั้ง”

“แล้วทำไม? คิดจะไปเลยได้ไง?”

“แก!แกพล่ามอะไรไร้สาระของแก!แกไอ้บัดซบ ปล่อยพ่อแกคนนี้เดี๋ยวนี้”หูบาพูดอย่างไม่พอใจ สะบัดมืออย่างแรงเพื่อจะให้หลุดจากมือหลินอิ่ง

“โอ๊ยย!”

เสียงแครกดังจากที่หูบาสะบัดมือ เหมือนกระดูกข้อหักหลุด

มือของหลินอิ่ง เหมือนดั่งคีมแท่นเครื่อง จับที่แขนเขาเหมือนกับล็อกอยู่แน่

หน้าของหูบาขาวซีดอย่างฉับพลัน เจ็บจนเหงื่อแตกเป็นเม็ด มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

เขาไม่เคยคิดถึงว่า ไอ้เด็กหนุ่มออกผอมคนนี้ ดูน้ำหนักยังน้อยกว่าเขานับสิบกิโล กลับมีแรงมากขนาดนี้

“แกปล่อยมือนะ ไอ้ทึ่มนี่ แกจะทำอะไรผัวฉัน? แกกล้าจะทำร้ายคนหรือ? รู้ไหมว่าผัวฉันมีอิทธิพลขนาดไหนในย่านเมืองเก่านี่?”เสียงโวยด่าจากเมียหูบาดังมา

“อ๋อ…”

หลินอิ่งแค่นหัวเราะ เสียงดังสวบ พลิกมือกลับ รวบแขนทั้งสองข้างให้ตัวหูบาพลิกหัน180องศากลางอากาศ กดคุกเข่าลงสองข้างกับพื้น แขนสองข้างไพล่ไว้ข้างหลัง

“อ๊าก..”

หูบาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด สีหน้าทั้งกลัวทั้งโกรธ โดนหลินอิ่งล็อกตัวไว้ ทั้งตัวรู้สึกชาไปหมด ไม่สามารถออกแรงได้แม้แต่น้อย

“ปล่อยท่านประธานหูนะ!”

“ไอ้หนู ฉันขอเตือนแกนะ ประธานหูไม่ได้อยู่ในฐานะที่แกจะกระทบกระทั่งได้นะ”

ขณะนั้นเอง กลุ่มบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่นอกห้องทำงานต่างตาตื่น เห็นเจ้านายตัวเองถูกจับล็อกไว้ ต่างรีบตะโกนสั่ง

“แก แกทำอะไรของแก? ที่นี่โรงเรียนนะ แกขืนกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย เราจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!”อาจารย์หลีส่งเสียงอย่างตื่นตระหนก กลัวหลินอิ่งจะทำเรื่องลุกลามใหญ่โต ทำให้ประธานหูลำบากหนัก

“ถ้าพวกแกยังขืนโวยวาย ข้าจะจัดการทำให้ไอ้นี่พิการไปเลย”หลินอิ่งพูดเนิบๆ มองหน้าเมียของหูบาอย่างหนาวเยือก “หนี้ที่พวกแกมีกับคุณหนูหยังสู้สู้ จัดการชำระมาทีละเรื่อง ที—ละ–เรื่อง”

เมียของหูบา มีสีหน้าร้อนรน ทั้งตื่นกลัวทั้งทำอะไรไม่ถูก

การลงมืออย่างเฉียบพลันของหลินอิ่ง ทำเอาหล่อนตลึง

ติ๊ด ติ๊ด

หลินอิ่งควักเอาโทรศัพท์ออกมา ส่งข้อความออกไปข้อความหนึ่งก่อน

แล้วเขาก็หันมามองหยังสู้สู้ พูดอย่างขึงขังว่า “หยังสู้สู้ พวกเขารังแกหนู สบประมาทพ่อแม่หนู หนูเข้าไป จัดการให้รอยตบกับไอ้หูเจี้ยนคนนั้น 19 ที”

“อ่า! คุณอาหลินคะ คงไม่ค่อยดีมังคะ?”หยังสู้สู้พูดด้วยน้ำเสียงหวาดๆ

หลินอิ่งลูบหัวหยังสู้สู้เบาๆ ยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร คุณอาจ่ายตังค์ให้เขาไปแล้ว”

หยังสู้สู้มองหน้าหูเจี้ยน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความชิงชัง

“ไปสิ คนอื่นเขารังแกหนู ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หนูยังพออดกลั้นยินยอม คุยเหตุผลกันให้เคลียร์ได้ แต่พวกเขาสบประมาทไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนู จะต้องเอาคืน!”หลินอิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

จะลงโทษอย่างไร สั่งสอนยังไงกับครอบครัวตระกูลหูบา ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

เขาต้องการให้หยังสู้สู้สร้างความมั่นใจของตัวเอง ไม่ให้ชีวิตตกอยู่ในปมด้อยของจิต

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท