ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 581 ภูเขาฉางชิง

บทที่ 581 ภูเขาฉางชิง

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “ไม่อนุญาตให้พัฒนา? ใครไม่อนุญาต?”

ธุรกิจที่เอาจริงเอาจัง โครงการที่เอามาได้ด้วยเงินด้วยทอง ยังพัฒนาไม่ได้?

นี่มันเหตุผลอะไร?

“ประธานหลิน พูดแล้วมันเรื่องยาว ที่ดินของเมืองเทียนหลงที่ภูเขาฉางชิงแปลงนั้น”นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง “ตอนแรกภูเขาหลายลูกนั้น พวกเราใช้เงินประมูลมา แต่ช่วงนั้นมันติดกับภูเขาของตระกูลซือหม่า ทางตระกูลซือหม่าก็มาถกเถียงอยู่ตรงนั้น ไม่ให้คนงานทำงาน”

“อีกอย่าง คนของตระกูลสวีก็ไปถึงที่ ยังเชิญหัวหน้าท่านหนึ่งจากสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์แห่งชาติมา สถานการณ์ตึงเครียดมาก”นิ่งซวนรายงานอย่างช้าๆ “ถ้าหากยังไม่สามารถเริ่มงานได้ จะกระทบต่อการวางเค้าโครงของเราในเมืองเทียนหลง เพราะฉะนั้น ผมจึงมารายงานท่าน ดูว่าจะจัดการอย่างไร”

“ที่ดินที่ภูเขาฉางชิง?”หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ได้ คุณดูอยู่ที่ภูเขาฉางชิงก่อน สายๆหน่อยผมจะไปดูสถานการณ์”

“ครับ”

วางสายแล้ว แววตาหลินอิ่งก็เฉียบคมขึ้นมา

เขารู้ที่ดินภูเขาฉางชิงแปลงนี้

นั่นเป็นที่ดินศูนย์กลางที่สุดในเมืองเทียนหลง ขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ของโครงการ

ตอนนั้นเพื่อจะประมูลที่ดินแปลงนี้ หลินอิ่งให้นิ่งซวนทำอย่างไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งแลกเปลี่ยนและเงินทุนทุกอย่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีทางด้านตระกูลจ้าวให้ความช่วยเหลือ

ทุ่มทุนแรงมหาศาลถึงได้ที่ดินนี้มา

วันนี้ ตระกูลซือหม่ากล้าไปถกเถียง? ยังมีคนตระกูลสวีก่อเรื่อง?

“พี่ เป็นอะไร? พี่มีธุระอีกแล้วเหรอ?”กงซุนชิวอวี่ถามอย่างสงสัยอยู่ด้านข้าง

“ฉู่ฉู่จองร้านอาหารไว้แล้ว คิดไว้ว่าเราสามคนจะกินข้าวด้วยกัน”กงซุนชิวอวี่พูด “พี่คงไม่ใช่ไม่ว่างอีกแล้วนะ?”

หลินอิ่งพูด “มีธุระด่วน เรื่องกินข้าว ไว้ครั้งต่อไปละกัน”

พูดไป เขามองไปที่ฉู่ฉู่ พูดว่า “น้ำใจผมรับไว้แล้ว”

“คุณหลิน เรื่องของคุณสำคัญ คุณไปยุ่งก่อนเถอะ”ฉู่ฉู่พูดอย่างจริงจัง

“พี่ พี่จะไปทำอะไร? ไม่อย่างนั้น พาพวกเราไปเปิดหูเปิดตาด้วย”กงซุนชิวอวี่พูด

หลินอิ่งพูด “ที่ดินที่ภูเขาฉางชิงของเมืองเทียนหลงเกิดปัญหานิดหน่อย”

“ภูเขาฉางชิง? หนูรู้จักที่ดินแปลงนั้น เป็นที่ดินที่พี่รวบรวมไปจากหนูแปลงนั้นใช่ไหม?”กงซุนชิวอวี่คิดอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน “หนูจำได้ ลุงสองของหนูก็มีโควตาในภูเขาฉางชิง”

ที่ดินภูเขาฉางชิงแปลงนั้นของหลินอิ่งขนาดโครงสร้างใหญ่มาก เป็นการรวบรวมขึ้นมา มีค่าใช้จ่ายแลกเปลี่ยนของนิ่งซวน ตระกูลจ้าวหลีกทาง และการเสียผลประโยชน์ของตระกูลกงซุน

“ลุงสองของเธอก็มีโควตา? กงซุนเฟยเทียน?”หลินอิ่งถามอย่างสงสัย

กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “ใช่ ลุงสองของหนูมาตี้จิงสองวันก่อน เขารู้เรื่องครั้งที่แล้วที่พี่ทำร้ายกงซุนสือแล้ว”

หลินอิ่งหัวเราะ พูดว่า “เขารู้แล้ว แล้วอยากทำอะไร?”

“ลุงสองของหนูดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร”กงซุนชิวอวี่พูด

“พี่ ในเมื่อเป็นเรื่องของที่ดินที่ภูเขาฉางชิง พี่ก็พาพวกเราไปดูหน่อยนะ บางทีหนูอาจจะช่วยได้”กงซุนชิวอวี่เปลี่ยนวิธีการพูด พูดอย่างออดอ้อน แล้วเหล่ตามองฉู่ฉู่ “ฉู่ฉู่ เธอว่าใช่ไหม ครั้งที่แล้วเธอยังบอกฉันว่าอยากไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวจุดชมวิวของตี้จิง ภูเขาฉางชิงเป็นจุดชมวิวที่ใช้ได้เลย”

“อันนี้……จะรบกวนคุณหลินหรือเปล่า……”ฉู่ฉู่พูดอย่างระมัดระวัง แววตานั้นมีแววการคาดหวัง

หลินอิ่งคิดไปมา พูดว่า “งั้นก็ไปกันเถอะ”

พูดจบ หลินอิ่งหมุนตัวเดินไปที่จองรถเฉพาะ ฮาเดสนั่งรออยู่บนที่นั่งคนขับ

“ดีเลย”

กงซุนชิวอวี่ยิ้มเบิกบาน ดึงตัวฉู่ฉู่เดินตามไป

ไม่นาน รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันนี้ก็ขับออกจากเส้นเฝ้าระวังของจื่อหลงซาน ขับไปสู่ถนนใหญ่อันเจริญรุ่งเรือง

……

เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ภูเขาฉางชิง

ที่นี่คือจุดชมวิวขึ้นชื่อของตี้จิง เขาเขียวยาวเหยียด ภูเขาสูงตระหง่าน

เชิงภูเขาฉางชิง มีเนินบางส่วน ถูกไถเรียบแล้ว เป็นดินเหลืองล้นเป็นแปลงๆ ดูแล้วกว้างขวางไร้ขอบเขต

มีคนงานของทีมงานก่อสร้างขนาดใหญ่หลายทีม ถูกไล่ออกไปนอกเหนือเส้นเตือนภัย มีรถขุดอะไรพวกนั้นหลายคันจอดอยู่ ถูกคนทุบทำลายจนเป็นเศษซากเหล็ก

ตอนนี้ กำลังคุมเชิงกันกับคนจำนวนมาก รถหรูระดับโลกจอดอยู่ริมถนนเป็นคันๆ และบอดี้การ์ดชุดสูทแต่ละกลุ่มที่ยืนเรียงเป็นแถวตามขบวนรถหรู สถานการณ์ดูใหญ่โตมาก

หลังจากหลินอิ่งได้ภูเขาฉางชิงมา แผนงานที่ให้นิ่งซวน คือปฏิรูปที่ดินแปลงนี้ใหม่ให้เป็นเขตคฤหาสน์ชมวิว ตีนเขาจะเปิดเป็นเมืองธุรกิจและถนนศูนย์การค้าอีกหลายสาย

เดิมแล้วนี่เป็นโครงการที่ดีมากชิ้นหนึ่ง

แต่กลับถูกคนมาขวางทาง จำเป็นต้องหยุดงาน

“ออ? ประธานนิ่ง คุณมาเองแล้วเหรอ? ตระกูลซือหม่าของเราเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ? ภูเขานี้ ขุดไม่ได้”

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวโอ้อวด คาบซิการ์ในปาก ยืนอยู่ในเส้นเตือนภัย ร้องเอะอะอย่างอวดดี

ข้างกายเขา มีชายวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่

ก็คือซือหม่าเฟิงและซือหม่าเฟยวู่ของตระกูลซือหม่า สองพ่อลูก

ครั้งที่แล้วถูกหลินอิ่งสั่งสอนอย่างหนักที่โรงแรมสากลกวงหุย ดูเหมือนจะไม่พอใจมาก

ด้านหลังทั้งสองคน ยังมีร่างคนยืนอยู่มากมาย ล้วนเป็นคนของตระกูลซือหม่า

นิ่งซวนสีหน้าไม่ค่อยดี ข้างกายมีทีมงานธุรกิจชุดสูทสองคน

เขาจ้องอยู่ที่ซือหม่าเฟยวู่

“นี่คือทัศนคติของตระกูลซือหม่าแห่งเจียงโจวของพวกคุณใช่ไหม?”นิ่งซวนถามอย่างเคร่งขรึม

“ประธานนิ่ง คุณก็ไม่ต้องมาข่มขู่ผมที่นี่ อำนาจของตระกูลนิ่งใหญ่โตจริง แต่ว่า ทุกเรื่องมันก็ต้องมีเหตุผลมั้ง? คุณใช้อำนาจรังแกคน ตระกูลซือหม่าของเราก็ใช่ว่าจะกลัวคุณ”ซือหม่าเฟิงพูดลากเสียงยาว

นิ่งซวนหัวเราะเย็นชา ไม่ได้มองซือหม่าเฟิงโดยตรงสักนิด พูดว่า “ซือหม่าเฟยวู่ คุณสั่งสอนลูกชายยังไง? เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร? มาพูดกับผมตรงนี้?”

ล้อเล่นอะไร ตระกูลซือหม่าเจียงโจวก็แค่ตระกูลผู้ดีรำไรของตี้จิงเท่านั้น ยังห่างกับตระกูลนิ่งตี้จิงอีกระดับหนึ่ง

ตามฐานะแล้ว เขานิ่งซวนอย่างน้อยก็ต้องคุยกับอย่างเท่าเทียมกับนายท่านตระกูลซือหม่า

ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ซือหม่าเฟิงคนนี้มีสิทธิ์มาเอะอะโวยวายแล้ว?

“ไอ้แซ่นิ่ง แกมาอวดดีอะไรที่นี่? แกก็แค่คนของหลินอิ่ง……”ซือหม่าเฟิงสีหน้าไม่พอใจ พูดอย่างโมโห

คำพูดของเขายังพูดไม่จบ ซือหม่าเฟยวู่ก็รีบปิดปากเขาไว้ ขึงตาใส่เขา

“แกถอยไป”ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างเชื่องช้า “ต่อหน้าประธานนิ่ง แกอย่าพูดไปเรื่อยที่นี่”

ซือหม่าเฟิงมองนิ่งซวนด้วยสีหน้าเย็นชา ถอยไปอยู่ด้านหลังพ่อเขา

“ประธานนิ่ง ว่าไปตามเรื่อง นี่มันตระกูลนิ่งทำไม่ถูก พวกคุณจะพัฒนา จะขุดภูเขา ก็ต้องถามตระกูลซือหม่าของเราถึงจะถูก”ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างจริงจัง “ที่ดินภูเขาฉางชิงแปลงนี้ ชาวบ้านสืบทอดรุ่นสู่รุ่นนั้น ล้วนได้รับการดูแลจากตระกูลซือหม่าของเรา วัดบรรพบุรุษของตระกูลซือหม่าเรา ล้วนตั้งอยู่บนภูเขานี้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท