ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 577 ข้ามแม่น้ำด้วยอ้อลำเดียว

บทที่ 577 ข้ามแม่น้ำด้วยอ้อลำเดียว

“ฮาฮาฮาฮา ยอมให้จับโดยไม่ต่อสู้?”กงจิ่วหัวเราะอย่างเย็นชา “หลินอิ่ง แกคิดว่าแกเอาฉันอยู่แล้วเหรอ?”

“แกกลัวปู่ของแกไร้ยาช่วยชีวิต แกไม่กล้าฆ่าฉันมั้ง? ไม่กล้าฆ่าฉัน แล้วแกมั่นใจแค่ไหนที่จะจับฉันได้?”กงจิ่วพูดอย่างเย็นชา

เวลาประลองการต่อสู้ ข้อห้ามที่หนักที่สุดก็คือห่วงหน้าพะวงหลัง

กงจิ่วรู้สึกเองว่า จับจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหลินอิ่งไว้แล้ว

หลินอิ่งไม่กล้าลงมือกับเขา ถ้าอย่างนั้น กำลังสู้รบก็ต้องลดไปกว่าครึ่ง

เขากงจิ่ว ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถหนีตายไม่ได้

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองกงจิ่วอย่างเย็นชา

คนต้าเหอคนนี้ ทำอะไรเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว น่าเกลียดชังยิ่งนัก

“แกคิดว่าแกมียาแก้พิษคนเดียวเหรอ สำนักยุทธเชียน ก็ไม่ได้มีแกกงจิ่วแค่คนเดียว”

“เหอะเหอะเหอะ ว่าไปแล้ว หลินอิ่ง แกก็ลังเลแล้วซิ?”กงจิ่วพูดอย่างสีหน้าหยอกล้อ “แกยังไม่ยอมลงมือสักที ก็เพราะกลัวว่าจะไม่ได้ยาถอนพิษไม่ใช่เหรอ?”

“ถ้าหากแกอยากได้ยาถอนพิษ ก็ทำตามที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ ถอนตัวออกจากตี้จิงโดยดี”กงจิ่วพูดอย่างได้ใจ “จะใช้ไม้แข็ง แกสู้ฉันไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่พ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย”

กงจิ่วกำจุดอ่อนไว้ หรี่ตามองหลินอิ่ง

เขาคิดเองว่า ถูกแล้วที่ก่อนหน้านี้ทำงานไว้อย่างมั่นคง

หากไม่ใช่วางยาให้ปู่ของหลินอิ่ง สู้กันเผชิญหน้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินอิ่ง

ถึงจะคำนวณผลงานการสู้รบของหลินอิ่งทุกอย่างแล้ว ประเมินความสามารถของหลินอิ่ง จนสุดท้าย ก็ยังคงประเมินเด็กหนุ่มโหดที่ไร้ชื่อเสียงในแวดวงลึกลับคนนี้ต่ำเกินไป

“เหอะ”

มุมปากหลินอิ่งมีแววแห่งความโหดเหี้ยม

ชิ้ว

วินาทีต่อมา ร่างของหลินอิ่งก็ก้าวออกไปสิบกว่าเมตร มาถึงข้างกายกงจิ่ว ยกฝ่ามือฟาดลงไป ลมแรงกระหน่ำพัดขึ้น และระเบิดคลื่นเสียงออกมา สะเทือนหูคนทำให้เจ็บปวด

เคี้ยง

กงจิ่วชักมีดออกมาทันใด มีดลายเบญจมาศสาดส่องแสงเจิดจ้า ฟาดฟันลงไป รับกับฝ่ามืออันแรงกล้าของหลินอิ่ง

ฝ่ามือและมีดกระทบกัน เกิดคลื่นเสียงดังกึกก้อง ใบมีดลายเบญจมาศสั่นเครือ เสมือนทนรับกำลังแรงอันมหาศาล จนกระทั่งใบมีดแตกเป็นรอยร้าว

ติ้งติ้งติ้งติ้งติ้ง

กระแสอากาศอย่างหนึ่งทะลุผ่านมีดลายเบญจมาศ ใบมีดเหมือนดั่งถูกตัดออก แตกกระจายออกไป กลายเป็นผงเหล็กร่วงลงกับพื้น

“นี่”

กงจิ่วสีหน้าหวาดผวา มองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ

มีดพกพาของเขา ทำมาจากวัสดุเทคโนโลยีที่ละเอียดที่สุด ระหว่างการวิจัย แม้แต่รถถังทับก็ไม่เสีย

คาดไม่ถึง จะถูกหลินอิ่งฝ่ามือเดียวแตกอย่างละเอียด?

ฮวั้ก

หลินอิ่งพลิกฝ่ามือ ทักษะฝ่ามืออันดุเดือดฆ่าฟันไปอย่างไม่สิ้นสุด หมุนเป็นเสียงลมกระโชก

ปัง ปัง ปัง

กงจิ่วยังคงฝืนรับ หมุนกำลังภายในทั้งร่าง ใช้ฝ่ามือทนรับฝ่ามือหลินอิ่ง

ฝ่ามือกระทบกันทุกครั้ง ล้วนทำให้เกิดคลื่นเสียงดังกึกก้อง ต้นไม้ใบหญ้าทั่วแปดทิศต่างสั่นไหว ฝุ่นฟุ้งกระจาย การสู้รบที่น่ากลัวอย่างมาก

กงจิ่วถูกหลินอิ่งบีบถอยหลังไปเรื่อยๆ

“พู๊ด”

หลังจากท่วงท่าอันแข็งแกร่งของหลินอิ่ง กดทับกงจิ่วจนกระอักเลือกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกกำลังภายในสะเทือนจนเหมือนกระดูกทั่วร่างกระจายออกจากกันแล้ว แม้แต่จะใช้ท่าการต่อสู้ยังคดเคี้ยวไปมา ท่าทางอย่างกับยืนไม่นิ่ง

สามสิบท่าผ่านไป

กงจิ่วถูกหลินอิ่งหนึ่งฝ่ามือสะเทือนถอยหลัง ลื่นออกไปตามดินโคลนหลายสิบเมตร ร่างเตี้ยเล็กอยู่ข้างแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เลือดอาบทั่วร่าง ดูแล้วน่ารันทดอย่างที่สุด

“แคกแคก……ฝ่ามือที่ร้ายกาจจริงๆ”

กงจิ่วไอเป็นเลือดออกมาสองครั้ง มองหลินอิ่งด้วยสายตาโหดเหี้ยม กระดูกทั่วร่างสะเทือนดังคักคัก เกิดเสียงดังเหมือนเสียงฟ้าร้อง

หลินอิ่งขมวดคิ้ว จ้องมองกงจิ่ว

ฆ่ากงจิ่วไม่ยาก แต่จะจับเป็นมันค่อนข้างจัดการยาก

เมื่อครู่ เขาตั้งใจออมแรงไว้ อยากใช้กำลังภายในเชื่อมระโยงไปกระดูกเอ็นเลือดเนื้อทั่วร่างของกงจิ่ว ทำลายวิชาการต่อสู้ของคนต้าเหอคนนี้ ให้เขาไม่มีโอกาสฆ่าตัวตาย

แต่ว่า เกินความคาดการณ์ กงจิ่วกลับสามารถรับวิชาการต่อสู้ที่หายสาบสูญไปแล้วได้ ย่อยสลายกำลังภายในที่เขาส่งเข้าร่างกายได้

ทั้งนี้เห็นได้ว่า วิถีทางการต่อสู้ของสำนักยุทธเชียนประเทศต้าเหอ แปลกประหลาดมาก

“หลินอิ่ง แกยังอยากจะจับเป็นฉันเหรอ? แกฝันไปเถอะ”

กงจิ่วหัวเราะอย่างชั่วร้าย หมุนตัวกระโดดชิ้ว ร่างทั้งคนกลายเป็นเงาดำกระโจนเข้าสู่แม่น้ำอันไหลเชี่ยว

เวลาเดียวกัน มีแสงอันเจิดจ้าน่ากลัวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา

หลินอิ่งกำลังจะไล่ตาม กลางอากาศ ลูกดอกหกเหลี่ยมลอยอยู่กลางท้องฟ้าสาดลงมาดั่งสายฝน ล้วนเป็นอาวุธลับที่น่ากลัวทั้งนั้น

เขาโบกมือ เหมือนดั่งแม่ทัพเหวี่ยงแส้ สะเทือนลมแรงออกไป ลูกดอกอาบพิษแต่ละดอก เปรี้ยงปั้งแตกละเอียดเป็นผงเถ้า ร่วงลงบนพื้น

เวลานี้ ร่างของกงจิ่ว อยู่บนผิวแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เหมือนดั่งแมลงปอเดินอยู่บนผิวน้ำหนีไปแล้ว

ฮวั๊กฮวั๊กฮวั๊ก

ที่ไม่ไกลนัก มีเรือสำราญขนาดกลางลำหนึ่ง แล่นมาบนแม่น้ำ ซัดจนเป็นคลื่นน้ำขึ้นมา

ปังปังปังปังปัง

ตามมาด้วย บนเรือสำราญที่แล่นมาซัดสาดกระสุนรอบด้านดุจสายฝนไปที่ตัวหลินอิ่งข้างแม่น้ำ

คนต้าเหอในชุดดำใส่แว่นกันแดดสีดำสิบกว่าคน แบกอาวุธปืนใหญ่ กราดยิงตำแหน่งหลินอิ่งข้างแม่น้ำ ยิงจนดินโคลนฟุ้งกระจาย น้ำสาดกระจายทุกทิศ พลังกระสุนอันน่ากลัว

เห็นได้ชัด กงจิ่วเตรียมเรือเร็วไว้ก่อนแล้ว เพื่อมารับช่วยเหลือคนของเขา

ระหว่างช่วงเวลาที่หลินอิ่งถูกขัดขวางไว้ กงจิ่วก็ข้ามแม่น้ำไปไกลหลายร้อยเมตร กระโดดขึ้นเรือเร็วลำนั้น

“เหอะเหอะเหอะ หลินอิ่ง ฉันยอมรับว่าฉันประเมินแกต่ำไป พูดถึงวิชาการต่อสู้ ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก เรื่องแผนการ แกยังห่างจากฉันเยอะ”

“คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้แกตายอย่างอนาถในตี้จิง”

เรือเร็วลำนั้นสะบัดท้ายเรือ จนเกิดคลื่นน้ำซัดขึ้นหนีไปแล้ว บนเรือ ส่งเสียงอันชั่วร้ายโหดเหี้ยมของกงจิ่วออมา

หลังจากร่างของหลินอิ่งที่เคลื่อนไหวสักพัก ปลอดภัยไร้บาดแผล เหยียบปลอกกระสุนบนพื้น ยื่นมือปัดฝุ่นบนไหล่

ได้ยินเสียงที่แว่วมาของกงจิ่ว มุมปากเขายิ้มอย่างเย็นชา ในสายตาเย็นชาจนทำให้คนสิ้นหวัง

วิชาตัวเบาของกงจิ่วยอดเยี่ยมจริง ถึงขั้นข้ามแม่น้ำด้วยอ้อลำเดียวได้

แต่ว่า ลำพังแค่นี้ ก็อยากหนีไปภายใต้สายตาเขา?

หลินอิ่งก้าวเท้าออกไป เหยียบอยู่บนแม่น้ำ

ปัง

ทันใดนั้น แม่น้ำระเบิด คลื่นซัดขึ้นสูงเป็นสิบฟุต

จากนั้น เห็นเพียงร่างเดินบนคลื่น เร็วดุจสายฟ้าแล่นไปทางเรือเร็วที่กงจิ่วอยู่

ตลอดทางนี้ เหยียบจนคลื่นซัดกระจาย แน่น้ำไหลทวน อลังการเหมือนดั่งเรือรบแล่นผ่าน

“อ้าก นี่มัน? ท่านผู้นำ คนประเทศหลุงคนนั้นตามมาแล้ว”

“ทำไมถึงมีคนน่ากลัวขนาดนี้?”

คนต้าเหอหลายคนเรือเร็ว ตกใจจนตะลึงตาค้าง ร้องออกมาด้วยเสียงตกใจ

ทุกคนบนเรือ ล้วนสีหน้าหวาดกลัว ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พฤติกรรมของหลินอิ่ง เกินขอบเขตความรู้ของคนปกติทั่วไปแล้ว

ถึงแม้พวกเขาจะมาจากอำนาจมืดอย่างสำนักยุทธเชียน เห็นยอดฝีมือหลบกระสุนจนชินแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนแข็งแกร่งน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

“เป็นไปได้ยังไง”

กงจิ่วหันไปเห็นคลื่นมโหฬารพันลึกที่ถูกซัดขึ้นมา และร่างที่กำลังไล่ตามมา ก็ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ดวงตาเขาหดลง จ้องหลินอิ่งที่ไล่ตามมาด้วยท่าทางโหดร้ายตาไม่กะพริบ สีหน้าไม่สามารถใจเย็นได้อีกแล้ว แววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท