ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 584 ตระกูลซือหม่าใจกล้ามาก

บทที่ 584 ตระกูลซือหม่าใจกล้ามาก

“ปั้นเรื่องขึ้นเอง? ไม่ นี่มันมีคนลงนามร้องเรียน”หัวหน้าถางพูดอย่างยืนกราน “ระหว่างขั้นตอนที่พวกคุณรับที่ดิน ทำการใช้อำนาจคุกคามข่มขู่ผู้อาศัย และก่อให้ผู้อื่นเสื่อมเสียสภาพจิตใจ นี่มันทำร้ายความเป็นระเบียบเรียบร้อยของส่วนรวมอย่างรุนแรง ทำลายกฎระเบียบอย่างรุนแรง”

นิ่งซวนพูด “หัวหน้าถาง พวกคุณทำงาน ก็ต้องพูดถึงหลักฐานด้วย ไม่มีหลักฐาน อย่าใส่ร้ายคนอื่น มีสิทธิ์อะไรให้บริษัทของเราหยุดงานตามใจชอบ?”

หัวหน้าถางพูด “หลักฐาน? พวกเราก็ต้องมีหลักฐานมัดมือแน่นอน มีพยานด้วย”

“ผู้อาศัยเดิมหลายบ้าน ล้วนลงนามร้องเรียนนิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกคุณ ใช้วิธีรุนแรง ข่มขู่ความปลอดภัยคนอื่น”หัวหน้าถางพูดอย่างเชื่องช้า

“ผู้อาศัยเดิม? นี่เกรงว่าจะถูกตระกูลซือหม่าใช้เงินซื้อมั้ง? ทำหลักฐานเท็จมันผิดกฎหมาย”นิ่งซวยพูดเคร่งขรึม “ถ้ามีพยาน ก็ขอหัวหน้าถางเชิญคนมา มาพูดกันต่อหน้า”

“เฮ้อ นิ่งซวน ของกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดจะพูดไปเรื่อยไม่ได้”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างเย็นชา “นิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกคุณและหลินอิ่งคนนั้น ทำงานเผด็จการไม่สนกฎระเบียบมาโดยตลอด ข่มขู่ผู้คนประชาชน เรื่องแบบนี้ คนอื่นเขาลงนามร้องเรียนแล้ว คุณยังพูดว่าทำหลักฐานเท็จ?”

“ไอ้แก่อย่างแก เล่นวิธีแบบนี้ สักวันชำระบัญชีกับแกอย่างชัดเจนแน่”นิ่งซวนมองซือหม่าเชี่ยวอย่างเย็นชา

ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย

ที่ดินภูเขาฉางชิงแห่งนี้ นั่นคือทรัพยากรที่ผู้อาวุโสหลินอิ่ง รวบรวมมาจากตระกูลจ้าว ตระกูลกงซุน

ยังมีอีกส่วนหนึ่ง เขาเป็นคนใช้เงินราคาสูงซื้อมาถึงมือด้วยตัวเอง

ในกระบวนการนี้ ไม่เคยใช้วิธีสกปรกอะไรเลย ราคาก็ชอบธรรมอย่างแน่นอน

อย่างไรเสีย หลินอิ่งให้เขาเอาโครงการของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ไม่ได้คำนึงถึงผลกำไรเลยแม้แต่น้อย ทุ่มทั้งกองเงินกองทองเข้าไป ยังต้องใช้วิธีรุนแรงเหรอ?

“ฉันว่า ไอ้เด็กอย่างแกอย่าอวดดีเกินไป ปู่ของแกนิ่งไท่จี๋บุคคลน่าเกรงขามขนาดนั้น ต่อหน้าเพื่อนเก่าอย่างพวกเรา ยังไม่ได้อวดดีอย่างแกเลย”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างเย็นชา “แกอย่ายืนผิดฝั่งไป คิดว่าพึ่งหลินอิ่งของตระกูลฉี ก็สามารถขึ้นสวรรค์ได้เหรอ”

“แคกแคก”หัวหน้าถางไอแห้งไปสองครั้ง พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณนิ่ง คุณพูดจาระวังหน่อย พวกเรามีหลักฐานแน่นอน มิเช่นนั้นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ทุกอย่างล้วนทำตามกฎระเบียบ บุคคลเกี่ยวข้องที่ร้องเรียน ทางด้านกรมพาณิชย์ตั้งคดีเพื่อเข้าตรวจสอบ กำลังเก็บหลักฐานตรวจสอบ”

“ก่อนผลตรวจสอบจากกรมพาณิชย์ออกมา ห้ามแตะต้องที่ดินภูเขาฉางชิงแห่งนี้ เพราะว่า นิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี”

“ก่อนกรมพาณิชย์ทำการตรวจสอบ?”นิ่งซวนกลั้นความโมโห

คดีตรวจสอบเสร็จเมื่อไหร่ ก็เป็นพวกเขาที่เป็นคนตัดสิน?

ตระกูลซือหม่าคิดจะเล่นอะไร คนโง่ก็สามารถดูออก

หาคนมาเป็นพยานเท็จ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ยังทำถึงขั้นกรมพาณิชย์ตั้งคดีตรวจสอบ

“คุณนิ่ง เอกสารทางราชการที่เกี่ยวข้อง ทางหน่วยงานเราจะส่งไปที่นิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกคุณ”หัวหน้าถางพูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน “ผมก็แจ้งให้คุณทราบแล้ว ตอนนี้ ผมขอให้บริษัทของคุณ หยุดการก่อสร้างทั้งหมดในภูเขาฉางชิง ถอนทีมงานก่อสร้างกลับเดี๋ยวนี้ ขับรถอุปกรณ์การก่อสร้างทั้งหมดกลับไป มิเช่นนั้น คุณก็คือก่อสร้างผิดกฎหมาย”

นิ่งซวนพูด “หยุดการก่อสร้าง? ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น หัวหน้าถาง คุณรับผิดชอบได้ไหม?”

หัวหน้าถางพูดเคร่งขรึม “คุณนิ่ง คุณพูดจาระวังหน่อย ที่ดินภูเขาฉางชิงแห่งนี้ รายงานไปที่กรมพาณิชย์แล้ว ก่อนผลการตรวจสอบคดีออกมา ใครก็ทำอะไรไม่ได้”

“อีกอย่าง หากผลการตรวจสอบเป็นจริง คุณก็เจอเรื่องใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่งานก่อสร้างพัฒนาเลย นิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกคุณก็ต้องหยุดการบริหารทุกอย่าง ยอมรับการตรวจสอบจากกรมพาณิชย์”

“คุณ”นิ่งซวนตื่นเต้นหวาดกลัว รู้สึกจัดการยาก

คนเหล่านี้เตรียมการมาเป็นอย่างดี

แล้วเขาก็ยังทำอะไรหัวหน้าถางไม่ได้

นี่คือแผนการสมคบคิด

กรมพาณิชย์ ระดับค่อนข้างสูง นั่นเป็นหน่อยงานโดยตรงของประเทศ ตั้งขึ้นมาเพื่อเจาะจงการทำผิดกฎหมายด้านพาณิชย์และเศรษฐกิจโดยเฉพาะ

ไม่มีบริษัทพาณิชย์ไหน ยินดีไปมาหาสู่กับหน่วยงานนี้

“เหอะเหอะเหอะ นิ่งซวน คุณก็ตายใจเถอะ รีบพาคนของคุณออกไป”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างเย็นชา “คนของตระกูลซือหม่าเรายังไม่ได้ตายหมด ภูเขาฉางชิงนี้ ไม่ใช่ว่าใครอยากขุดก็ขุดได้”

พูดไป พวกซือหม่าเชี่ยวทั้งกลุ่ม ต่างก็หัวเราะเย็นชามองนิ่งซวน

ทันใดนั้นนิ่งซวนก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ เอามือถือออกมา กำลังจะโทรศัพท์ถามหลินอิ่งอีกครั้ง

ซือซือ

เวลาเดียวกัน รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันหนึ่งหักโค้ง ขับเข้ามาด้วยความเร็ว ขับไปถึงข้างเส้นเตือนภัย

คนต่างชาติร่างสูงสีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง เปิดประตูรถ

ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีดำสีหน้าหน้าเย็นชา ค่อยๆเดินลงจากรถ

หลินอิ่งมาแล้ว

“ประธานหลิน ท่านมาแล้ว ผู้นำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายท่านนี้ แล้วก็คนของตระกูลสวีและตระกูลซือหม่าล้วนมาแล้ว”นิ่งซวนพูดอย่างจริงจังอยู่ด้านข้าง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูด กวาดตามองพวกซือหม่าเชี่ยวอย่างเย็นชา

“คนนี้ก็คือคุณชายอิ่งในตำนาน?”ซือหม่าเชี่ยวพึมพำสีหน้าเคร่งเครียด สังเกตมองหลินอิ่ง

“นี่……พ่อ หลินอิ่งมาแล้ว……”หลังจากซือหม่าเฟิงเห็นหลินอิ่งแล้ว สีหน้าก็ลุกลี้ลุกลน อยู่ด้านหลังของซือหม่าเฟยวู่

คนของตระกูลซือหม่า ถึงแม้จะตัดสินใจเป็นอริกับหลินอิ่งตั้งนานแล้ว และรู้ว่าเป็นไปได้อย่างสูงที่หลินอิ่งจะมาภูเขาฉางชิงด้วยตัวเอง

แต่ว่า พอหลินอิ่งมาด้วยตัวเอง พวกเขา ในใจก็อดที่จะเคารพยำเกรงและหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

หลินอิ่งยืนอยู่ตรงนั้น ราศีที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ก็เกิดขึ้นเอง

โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ซือหม่าเฟิงเพิ่งถูกหลินอิ่งสั่งสอนอย่างหนัก จนทุกวันนี้ยังรู้สึกกลัวในใจ

“หลินอิ่งมาแล้วก็มาแล้ว กลัวอะไร”ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างเคร่งขรึม “ทุกวันนี้พวกเราทำงานร่วมกับตระกูลสวี เป็นคู่แข่งกับเขา”

“อือ?”หลินอิ่งมองไปที่ซือหม่าเฟิงอย่างเย็นชา จากนั้นก็มองซือหม่าเฟยวู่อย่างหนักแน่น “คุณลืมแล้วใช่ไหม ผมเคยพูดอะไรกับคุณไว้?”

“คุณชายอิ่ง ผมลืมไปแล้วจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรจะสั่งสอน?”ซือหม่าเฟยวู่แข็งใจพูด

ตอนนั้น หลินอิ่งเคยพูดว่า อย่าให้ซือหม่าเฟิงปรากฏตัวในสายตาเขาอีก

ซือหม่าเฟยวู่ก็จำได้ ตัวเองเคยรับปากต่อหน้า จะส่งซือหม่าเฟิงไปต่างประเทศทันที

เพียงแต่ว่า ทุกวันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ตอนนั้นตระกูลซือหม่าของพวกเขา ไม่กล้าสู้กับหลินอิ่ง

ทุกวันนี้ ยืนอยู่ฝั่งตระกูลสวี มีตระกูลสวีสนับสนุน ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถสู้ได้

“เหอะ”มุมปากหลินอิ่งมีรอยยิ้มอันเย็นชา “ความกล้าของตระกูลซือหม่าของพวกคุณ ใหญ่โตขึ้นไม่น้อยนะ”

ชิ้ว

พูดตบ หลินอิ่งขยับเท้า ถีบก้อนหินบนพื้นก้อนหนึ่งลอยขึ้น

“อ้าก”

ทันใดนั้น ซือหม่าเฟิงก็ร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนหมูถูกเชือด คนทั้งคนกระเด็นลอยออกไปอย่างไม่มีมูล ล้มออกไปสิบกว่าเมตร ตีลังกาไปหลายรอบหัวทิ่มพื้น กระอักเลือดไม่หยุด

“หลินอิ่ง แก แก”ซือหม่าเฟิงหายใจหอบ พูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท