ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 601 งานประชุมสุดยอดเทียนหลง

บทที่ 601 งานประชุมสุดยอดเทียนหลง

“คุณมุซาชิ ลูกน้องสองคนนั้นของหลินอิ่ง คุณคิดจะจัดการยังไงหรอครับ?” สวีไป๋เห้อถาม

“ฆ่าทิ้งซะ ก็แค่สองคนที่ไม่มีค่าอะไร” มุซาชิ จูโตะตอบกลับอย่างเฉยเมย

สวีไป๋เห้อพูดขึ้น “คุณมุซาชิ สองคนนั้นยังมีประโยชน์ เอาเป็นว่าคุณปล่อยสองคนนั้นให้เป็นหน้าที่ของผมจัดการเองดีกว่า”

“อ๋อ?” มุซาชิ จูโตะหรี่ตาลงมองสวีไป๋เห้อ “คุณมีความคิดสกปรกๆ อะไรอีก?”

สวีไป๋เห้อตอบกลับ “เจ้าสองคนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนสนิทของ หลินอิ่ง แต่ในเมืองตี้จินดินแดนสีเทานี้ก็ยังนับว่าเป็นคนที่มีกำลังอำนาจไม่น้อยเลย”

“คุณปล่อยสองคนนี้ให้เป็นหน้าที่ผมเถอะ อีกไม่นานผมก็จะสามารถผนวกเมืองเก่าได้แล้ว หรือแม้กระทั่งในงานประชุมสุดยอดเทียน ผมยังสามารถที่จะตะเพิดพวกเขาออกไปด้วย เพื่อใช้ในการสยบพวกผู้มีอำนาจทางการเงินที่คิดจะสนับสนุนหลินอิ่งได้อีกด้วย” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“งั้นก็ได้ อย่างนั้นก็ปล่อยให้คุณเป็นคนจัดการแล้วกัน” มุซาชิ จูโตะตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

ในสายตาของเขาแล้ว คนธรรมดาอย่างซื่อไท่และถูซาน ก็เป็นเพียงพวกคนอ่อนแอที่ไม่ต่างจากมดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความสนใจมาตั้งแต่แรกแล้ว

“ผมจะไปจัดเตรียมการดำเนินการ หลังจากที่คุณกลับไปแล้ว แจ้งให้ยอดฝีมือในตระกูลของคุณแล้วก็หัวหน้ายามของชีซิงกรุ๊ปให้มาหาผมโดยด่วน” มุซาชิ จูโตะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ครับ!ขอให้คุณมุซาชิได้รับชัยชนะ” สวีไป๋เห้อพูดอย่างประจบประแจงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

จากการคาดการณ์ของสวีไป๋เห้อ ครั้งนี้จะต้องสามารถทำให้ หลินอิ่งสะดุดล้มได้อย่างแน่นอน

และเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้สถานการณ์ทั้งหมดพลิกกลับมาได้อีกครั้ง

อีกอย่างคือมีทั้งมุซาชิ จูโตะที่เป็นถึงยอดฝีมือสะท้านโลก เหล่ายอดฝีมือที่คุณท่านไปเชิญออกมาจากเขา รวมทั้งหัวหน้ายามชีซิงกรุ๊ป อีกด้วย และยิ่งบวกกับแผนการแสนจะรอบคอบแล้ว มีหรือที่หลินอิ่งจะสามารถรับมือได้?

……

ในวันถัดมา

ณ ตี้จิง เมืองเทียนหลง

เมืองใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีการจัดเคลียร์เมืองทั้งหมด ตามถนนหนทางไร้ซึ่งผู้คนสัญจร

ซึ่งมาสาเหตุเพราะว่าวันนี้จะมีการเปิดประชุมสุดยอดเทียนหลงเกิดขึ้น

นี่ถือเป็นโครงการที่ผู้คนทั้งตี้จิงต่างให้ความสนใจอย่างมาก

เพราะดูเหมือนว่าเหล่ากลุ่มผู้ทรงอิทธิพลทั้งหมดในตี้จิงจะมาเข้าร่วมการประชุมนี้

และแน่นอนว่าสำหรับตัวแทนการประชุมในครั้งนี้อย่างน้อยต้องเป็นตระกูลใหญ่ระดับสองของตี้จิง

สำหรับคนร่ำรวยหรือผู้ที่มีอิทธิพลธรรมดาทั่วไปนั้น ไม่มีคุณสมบัติที่จะสามารถไปปรากฏตัวบนถนนของเทียนหลงด้วยซ้ำ

ในเวลานี้ตามท้องถนนทั่วทุกทิศทางของตัวเมืองต่างๆ นั้นพลุกพล่านไปด้วยขบวนรถหรูหราระดับโลกกำลังเคลื่อนขบวนไปตามถนน ซึ่งดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็นจำนวนไม่ถ้วน

สามารถบอกได้เลยว่ารถหรูรุ่นอัลลิมิเต็ดเอดิชั่นที่มีชื่อเสียงในตี้จิง กำลังเคลื่อนขบวนอยู่ตรงหน้า บรรยากาศดูน่าทึ่งอย่างมาก

เมืองใหญ่ต่างๆ ทุกขบวนรถ ทั้งหมดล้วนมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน

ซึ่งนั่นก็คือเมืองเทียนหลง

ในขณะเดียวกัน ณ เขตจงเทียน ใต้อาคารดวงดาว

รถสีดำคันหรูจำนวนมากมาย กำลังจอดเรียงรายกันอยู่บริเวณริมถนนอย่างเคร่งขรึม

บริเวณข้างๆ รถมีเหล่าบอดี้การ์ดที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบและสุขุม

ภายในตึก หลินอิ่งกำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

ข้างๆ ของเขาตามาด้วยนิ่งซวนและหยูจื๋อเฉิง

ส่วนเย่เฮย หรงหยังและคนอื่นๆ ได้มายืนรออยู่ข้างรถตั้งนานแล้ว

“ท่านอิ่ง”

“ท่านอิ่ง”

เหล่าบอดี้การ์ดที่ตั้งแถวรออยู่กล่าวทักทายอย่างเคารพอย่างพร้อมเพรียง

“ประธานหลิน ทีมงานมากันครบแล้วครับ พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อเลยครับ” ฮาเดสที่ยืนอยู่ข้างรถกล่าวรายงานขึ้นมา

“ออกเดินทางเถอะ”

หลินอิ่งตอบกลับอย่างเรียบเฉย

หลังจากที่ฮาเดสเปิดประตูรถออก หลินอิ่งก็นั่งลงยังที่นั่งหลัง ส่วน นิ่งซวนก็นั่งลงยังที่นั่งข้างคนขับ

ในขณะที่หยูจื๋อเฉิงขึ้นไปนั่งลงบนรถอีกคันหนึ่ง แล้วตามหลังขบวนรถไป

เพียงไม่นานขบวนรถก็เริ่มขยับ ขบวนรถค่อยๆ ขับตามกันไป มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเทียนหลงอย่างใจเย็น

“ประธานหลินครับ เมื่อสักครู่นี้ทั้งคนจากคระกูลจ้าว และคนจากตระกูลกงซุนล้วนโทรมาหาแล้วครับ” นิ่งซวนหันข้างพร้อมกล่าวรายงานด้วยใบหน้าจริงจั “พวกเขาบอกได้ถึงเมืองเทียนหลงกันแล้ว เหลือเพียงรอให้คุณไปถึงที่นั่นครับ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อยด้วยดวงตาที่ลึกล้ำและถามว่า “แล้วคนตระกูลสวีล่ะ?”

“ได้ยินมาว่าคุณท่านของตระกูลสวีเดินทางไปด้วยตัวเองเลยครับ ขบวนรถของตระกูลสวีตอนนี้อยู่ระหว่างทางไปยังเมืองเทียนหลงแล้วครับ” นิ่งซวนกล่าวอย่างเคร่งขรึมการหลินอิ่งกระตุกรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาตรงมุมปาก

ที่แท้ตระกูลสวียังไม่ยอมตายใจสินะ มาจนถึงขั้นนี้ ยังคิดจะให้คุณท่านของตระกูลตัวเองออกมาอีก ช่างไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียชื่ออย่างที่สุดเลยจริงๆ

และก็เป็นไปแบบนี้ จนกระทั่งรถเคลื่อนไปได้กว่าสิบนาที

มาถึงอุโมงค์ที่ทอดยาวและเปลี่ยวร้าง บริเวณโดยรอบไร้รถราสัญจร

และขับไปได้เพียงครึ่งทางผ่านอุโมงค์ ตรงบริเวณด้านหน้าของพวกเขาก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่หลายคันมาจอดขวางทางเอาไว้ ราวกับว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นขวางทางเอาไว้

“ประธานหลิน ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ปกตินะครับ ข้างหน้ามีรถหลายคันชนกันจนบังทางเอาไว้หมดแล้ว แต่ดูไม่เหมือนอุบัติเหตุเลยครับ เหมือนมีคนจงใจมากกว่า” ฮาเดสเหยียบเบรกหยุดรถ ใบหน้าเต้มไปด้วยความระแวดระวังพร้อมกับหันมากล่าวรายงาน

“คุณหลิน ดูเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มีรถใหญ่สองสามคันข้างหน้าคุณชนและถูกขวาง ไม่เหมือนอุบัติเหตุ มันเหมือนฝีมือมนุษย์” ฮาเดสหยุดรถ สีหน้าตื่นตัว แล้วหันกลับมา มุ่งหน้าไปรายงานตัว

“หืม?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองอย่างเย็นชา

ตูม!

ทันใดนั้น รถบรรทุกขนาดใหญ่หลายคันที่จอดอยู่ข้างหน้าก็ระเบิดขึ้น คลื่นเพลิงลุกลามไปทั่วทั้งอุโมงค์ในทันที พร้อมกับผลกระทบอันรุนแรงก็แผ่กระจายไปทั่ว

“ออกไป!”

เพียงชั่วพริบตา หลินอิ่งก็สามารถตอบสนองได้ทันที เขาเตะประตูออก ก่อนจะคว้าตัวนิ่งซวนแล้วกระโดดหนีออกมาจากบริเวณนั้นโดยทันที

และในเวลาเดียวกัน เหล่าชายชุดสูทที่อยู่ในรถที่ตามหลังมาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกันจากเสียงเตือนภัยจากรถที่พังยับเยินพลางหลบหนีอย่างรวดเร็ว

บูม บูม บูม!

คลื่นไฟลุกลามไปตลอดทาง พร้อมกับแรงแผดเผาที่ทำให้รถหรูสีดำหลายคันระเบิดกระเด็นออกไป และกระแทกลงมาตามริมถนนแตกเป็นเสี่ยงๆ สถานการณ์ยิ่งใหญ่อย่างมาก!

“เฮือก!”

“อ๊า!”

ชายในชุดสูทหลายคนกรีดร้องออกมา ถึงแม้พวกเขาจะหลบหนีตั้งแต่แรกที่รู้ตัว พวกเขาก็ถูกคลื่นไฟคลอบไว้จนตายคาที่ไปหลายคน

ภายในอุโมงค์มีควันดำหนาทึบแผ่ขยายไปทั่ว

ร่างของหลินอิ่ง กระเด็นลอยห่างจากที่เกิดเหตุไปกว่าสิบเมตร เขาหันไปมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา

ข้างๆ เขา นิ่งซวนมีความหวาดกลัวไม่น้อย เขาหายใจหอบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงัน

“นี่มันฝีมือใครกัน!กล้าดียังไงถึงมาซุ่มโจมตีประธานหลินแห่งตี้จิงแบบนี้!” นิ่งซวนตื่นตกใจ ตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซะแล้ว ถึงได้มาระเบิดหมู่ที่นี่?ประธานหลิน จะให้ผมโทรไปหาสำนักงานเมือง

หรือเปล่าครับ?” นิ่งซวนถาม

“ไม่ต้องหรอก ยังไงก็ไม่ทัน”

หลินอิ่งจ้องเขม็งไปยังกลุ่มควันดำภายในอุโมงค์ แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

“ประธานหลิน……”

“ท่านอิ่ง คุณโอเคไหมครับ”

“คุณหลิน…”

หลังจากการระเบิด เหล่าบอดี้การ์ดต่างก็กลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับวิ่งเข้าไปล้อมรอบหลินอิ่งเอาไว้

บอดี้การ์ดในชุดสูทที่ขับรถตามหลังกลุ่มนี้มีหลายคนที่เป็นยอดฝีมือในกลุ่มขององครักษ์มังกรดำ ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือเก่าแก่ทั้งนั้น

ภายใต้ความพรวดพราดนี้ ถึงแม้ว่าการระเบิดจะทำให้มีคนตายไปหลายคน และอีกส่วนมากที่ต่อให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ในความเร่งรีบแม้ว่าหลายคนจะถูกฆ่าโดยผลพวงของการระเบิด ส่วนใหญ่เสียชีวิต แต่ชีวิตของพวกเขาได้รับการช่วยชีวิต

“ผมไม่เป็นไร พวกคุณรีบถอยไปเถอะ” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่ายอดฝีมือที่อยู่ข้างกายเขา ต่างก็แสดงสีหน้าผ่าเผย พร้อมกับถอยออกไปตามคำสั่ง

“คุณก็คือหลินอิ่ง?คุณน่ะหรอคนที่ฆ่ากงจิ่วศิษย์น้องของผม?” ’

จู่ๆ เสียงแปลกๆ ที่น่าสะพรึงก็ดังก้องออกมาจากอุโมงค์

ทันใดนั้น เสียงแปลกๆ เสียงที่น่าสะพรึงกลัว ดังก้องมาจากอุโมงค์

ภายใต้ควันดำหนาทึบตรงทางเข้าอุโมงค์ เงาร่างสีดำที่ถือดาบซามูไรก็ค่อยๆ เดินออกมาทีละคน…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท