ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 604 หลินอิ่งถ้าไม่ตายก็คงจะเป็นโชคดีล้วนๆ

บทที่ 604 หลินอิ่งถ้าไม่ตายก็คงจะเป็นโชคดีล้วนๆ

ภายในห้องประชุมใหญ่ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ แทบจะไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลย

ในใจของพวกเขาต่างเข้าใจดีเป็นอย่างมากว่าการประชุมสุดยอดเทียนหลงในครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใด เพราะนี่ถือเป็นการชี้ชะตาของตี้จิงในอีกยี่สิบปีข้างหน้า

อีกอย่างคือครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายในการสิ้นสุดสงครามอันสุดแสนโกลาหลของตระกูลสวีและตระกูลฉี

และผลลัพธ์สุดท้ายของการประชุมนี้จะเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ส่วนบุคคลของทุกคนที่มาในวันนี้ รวมทั้งชะตากรรมของเส้นทางในอนาคตด้วย

ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะทอดสายตาไปยังโต๊ะเจรจาทรงกลมที่ถูกจัดตั้งไว้อยู่บนเวทีชั้นสอง

ซึ่งตรงนั้นได้มีการจัดเรียงเก้าอี้ที่สุดทันสมัยเอาไว้ห้าตัว ทว่าตอนนี้กลับยังว่างเปล่าไร้คนนั่ง

ตำแหน่งทั้งห้านี้ ถูกแบ่งเอาไว้ให้กับห้าตระกูลใหญ่ของตี้จิง ซึ่งจะมีเพียงตัวแทนจากทั้งห้าตระกูลใหญ่นี้ถึงจะมีความคุณสมบัติที่จะนั่งเท่านั้น

“งานประชุมสุดยอดอีกเดี๋ยวก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทำไมถึงโทรหาท่านอิ่งไม่ติดนะ?”

บริเวณหน้าประตูทางเข้างานประชุม จ้าวเฉิงเฉียนกำลังยืนถือโทรศัพท์ไว้ในมือด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น

เขาไม่รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น หรือเปล่า ทว่าเหล่าตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว แม้แต่นายท่านใหญ่ของตระกูลสวียังเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นคนของหลินอิ่งเลย

อีกอย่างแม้แต่เบอร์โทรของหลินอิ่งก็ยังติดต่อไม่ได้อีกด้วย

แบบนี้มันน่าแปลกเกินไปแล้ว

ก่อนหน้านี้หลินอิ่งอุตส่าห์ลงมือลงแรงตั้งมากมายขนาดนั้น จนสามารถไล่ต้อนตระกูลสวีจนถึงริมหน้าผาได้แล้ว

เหลือแค่การประชุมสุดยอดเทียนหลงครั้งนี้ที่เป็นการไล่ต้อนครั้งสุดท้ายที่จะสามารถผลักตระกูลสวีให้ดิ่งลงสู่เหวลึกได้แล้ว

ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หากว่าตามลักษณะนิสัยของหลินอิ่งแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่มาร่วมประชุมเด็ดขาด

ดังนั้นจะต้องเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นแน่นอน

แต่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลินอิ่ง และเหล่ายอดฝีมือข้างกายเขาแล้ว จะยังมีคนที่สามารถขัดขวางพวกเขาได้อีกงั้นหรอ?

สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนดูกลัดกลุ้มใจเอามากๆ ภายในใจก็กระวนกระวายไปหมด พร้อมกับเดินไปๆ มาๆ อยู่ข้างประตูทางเข้า

ในเกมของเทียนหลงครั้งนี้ เขาเป็นคนที่ถูกมัดรวมกันไว้บนรถรบคันเดียวกัน ทั้งสองเป็นผู้ที่แสวงหาผลกำไรร่วมกัน

เรื่องของหลินอิ่ง ก็คือเรื่องของเขาด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นกว่าเขาจะดึงยอดฝีมือสะท้านโลกอย่างหลินอิ่งมาเป็นพวกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และหลังจากที่เขายังต้องพึ่งพาหลินอิ่งในการต่อกรกับกำลังลึกลับเหล่านั้นที่แอบมาลอบสอดแนมเขา รวมทั้งจัดการปัญหาใหญ่ของตระกูลเผยแห่งจี้โจว

“พี่ โทรศัพท์ของหลินอิ่งยังติดต่อไม่ได้อีกหรอคะ?คนติดตามเขาล่ะ ติดต่อไปแล้วหรือยัง?” จ้าวหลินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

จ้าวเฉิงเฉียนหยุดเท้าลง พร้อมตอบด้วยคิ้วที่พันกันแน่น “โทรไปหมดแล้ว ทั้ง หยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวน สองคนนี้ก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน กลัวว่ากำลังเกิดเรื่องสุดวิสัยขึ้น”

“ห๊า?” จ้าวหลินเอ๋อร์อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะถามอย่างร้อนใจ “พี่ พี่รีบส่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเร็วเข้า จะปล่อยให้หลินอิ่งเกิดเรื่องอะไรตอนนี้ไม่ได้ ……”

จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจออกมา “ฉันส่งคนไปที่เขตจงเทียนตั้งนานแล้ว เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“เธอเองก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป จากความสามารถของหลินอิ่งแล้ว คงจะไม่เป็นอะไรมาก” จ้าวเฉิงเฉียนที่เห็นท่าทีกระวนกระวายของ จ้าวหลินเอ๋อร์ จึงพูดปลอบใจ

“แต่ว่า……” ท่าทางของจ้าวหลินเอ๋อร์ดูเหมือนจะกังวลอย่างมาก เพราะทุกๆ อย่างก้าว ทุกๆ การกระทำของหลินอิ่งมักจะทำให้ใจของเธอเต้นรัวได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นยิ่งอย่าพูดถึงการเกิดสถานการณ์แปลกๆ แบบนี้เลย

“พวกเราจะร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ก่อนที่หลินอิ่งจะมาถึงพวกเราทำได้เพียงต้องควบคุมการประชุมสุดยอดเทียนหลงนี้ให้ได้ อย่าปล่อยให้ตระกูลสวีทำสำเร็จเด็ดขาด” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

ถ้าหากเป็นเรื่องที่หลินอิ่งไม่สามารถรับมือเอาไว้ได้จริงๆ อย่างนั้นเกรงว่าขาจ้าวเฉิงเฉียน ก็คงจะไร้หนทางคุมเอาไว้ได้เหมือนกัน

“คนของหลินอิ่ง หรือแม้แต่ตัวแทนสักคนก็ยังไม่มาเลย” จ้าวเฉิงเฉียนพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ในแววตาฉายแววการตัดสินใจออกใส “ตอนนี้มีเพียงคระกูลจ้าวของเราที่จะสามารถช่วยยับยั้งสถานการณ์นี้เอาไว้ก่อนแล้วเท่านั้น”

และในเวลานั้นเอง ตรงบริเวณหน้าประตูงานประชุม ก็มีเหล่าบอดี้การ์ดสวมชุดสูทเข้ามาต่อแถวกัน

ชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามาช้าๆ โดยมีชายสองคนที่คอยประคองเขาเอาไว้

“คนตระกูลสวีมาถึงแล้ว ……” จ้าวเฉิงเฉียนเหลียวตาไปมอง ภายในแววตาค่อยๆ เกิดความสงสัยขึ้น

คุณท่านสวี สวีจิ่วหลิง มางานประชุมด้วยตัวเอง

ข้างกายของสวีจิ่วหลิงตามมาพร้อมกับสวีฉางเฟิง และสวีไป๋เห้อที่ยังนั่งอยู่บนรถเข็น

“คุณท่านสวีจิ่วหลิงมาแล้ว!คนที่มีฐานะสูงศักดิ์น่ายกย่องอย่างคุณท่านยังต้องเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตัวเองแบบนี้ ดูแล้วตระกูลสวีจะให้ความสำคัญกับโครงการของเมืองเทียนหลงเอามากๆ !”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลสวีกับท่านอิ่งตระกูลฉีคนนั้นห้ำหั่นกันถึงขนาดนั้น มีหรือที่คุณท่าน ตระกูลสวีจะนั่งดูอยู่เฉยๆ ?”

“ถ้าให้ผมพูดยังไงซะขิงแก่ก็ย่อมเผ็ดร้อนมากกว่า จะยังไงคุณท่านสวีก็เหนือระดับกว่าอยู่ดี !พวกคุณไม่เห็นหรือไง วั่วแทนทางทางด้านท่านอิ่งไม่มีใครมาเลย แบบนี้ก็พูดได้อย่างชัดเจนเลยว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว !”

“พูดก็อีกก็ถูกอีก พวกเราสังเกตได้แล้ว ตัวของท่านอิ่งไม่มา ……นี่คงต้อง คงต้องไปโดนอุบายของตระกูลสวีเข้าซะแล้ว……”

ด้วยการมาถึงของสวีจิ่วหลิงและคนในตระกูล ทำให้บรรยากาศภายในงนฮือฮาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างพากันพิพากษ์ วิเคราะห์คาดเดาต่างๆ นานา

ตายังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนอื่น สีหน้าของพวกเขาล้วนมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ใช่แล้ว พวกเขาต่างสังเกตเห็นแล้วว่ามีเพียงท่านอิ่งคนเดียวเท่านั้นที่จะยังมาไม่ถึง

แต่การประชุมสุดยอดเทียนหลง ตระกูลฉีไม่มีทางที่จะไม่มาเข้าร่วมเด็ดขาด

และสถานการณ์แบบนี้บอกได้เลยว่านั่นเป็นเพราะว่ามาไม่ได้

เพราะอะไรคนของตระกูลสวีมาถึงแล้ว แต่ท่านอิ่งกลับมาไม่ได้?

ซึ่งสาเหตุนั้นก็ทำให้ผู้คนเกิดความสนใจอย่างมาก

เสียงฮือฮาดังขึ้น!

เพียงครู่เดียว ผู้คนส่วนมากในงานต่างก็ลุกขึ้นยืน มองไปยังสวีจิ่วหลิงด้วยสีหน้าที่เคารพ

“คุณท่านสวี ระวังนะครับ”

“คุณท่านสวี ทุกคนต่างก็รอการมาของคุณอยู่เลยครับ อุตส่าห์มาเข้าร่วมการประชุมเทียนหลงแบบนี้ต้องเป็นธุรการใหญ่แน่นอนครับ”

เมื่อเห็นบรรยากาศที่ฮือฮาแบบนี้ สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าสีหน้าของคน ตระกูลสวีกลับเต็มไปด้วยความสะใจ

“แค่กๆ ……” สวีจิ่วหลิงไอแห้งออกมาสองเสียง ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกสองสามครั้ง “ทุกคนนั่งลง นั่งลงเถอะ”

“วันนี้ที่ผมมาร่วมงาน แน่นอนว่าอยากจะทำให้ทุกท่านทำความเข้าใจกับเรื่องของเมืองเทียนหลงอย่างชัดเจน”

หลังจากพูดจบ สวีจิ่วหลิงก็เหล่ตาเล็กน้อยพร้อมกับหรี่ตาจ้องมองจ้าวเฉิงเฉียน。

“โอ้ คุณก็คือบุตรฟ้าประทานคนนั้นของคระกูลจ้าว ?จ้าวเฉิงเฉียน?” สวีจิ่วหลิงพูดช้าๆ ” ผมได้ยินมาว่า เจ้าหนุ่มอย่างคุณกำลังช่วยหลินอิ่งในสังเวียน และยังช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ ด้วย ?”

“ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณจะเป็นชายหนุ่มที่มีปัญญาล้ำเลิศอะไรอย่างนั้นซะอีก” สวีจิ่วหลิงส่ายหน้า พร้อมพูดด้วยน่ำเสียงสั่งสอน “ที่จริงก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เฉื่อยชารู้ไม่ทันเหตุการณ์ก็เท่านั้น ไม่แม้แต่จะเข้าใจการเลือกฝ่าย คงยากจะกลายเป็นอาวุธทรงพลัง คิดจะบุกรุกดินแดนไปพร้อมกับหลินอิ่ง มีแต่จะทำให้ คระกูลจ้าวของพวกคุณตกอยู่ในอันตราย”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับ ” คุณท่านสวี คุณมีอะไรก็พูดตามตรงจะดีกว่าครับ ผมควรจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเป็นคนชี้หรอกครับ”

สวีจิ่วหลิงหัวเราะเยาะ “ผมก็แค่เตือนสติคุณก็เท่านั้น จะบอกอะไรให้แล้วกัน หลินอิ่งน่ะไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว อีกเดี๋ยวเปิดประชุม ผมว่าคุณทำความเข้าใจเอง อย่าเข้ามาขัดขวางเรื่องใหญ่ของผมดีกว่า”

“ขัดขวางแผนการของพวกคุณ?คิดว่าการประชุมสุดยอดเทียนเป็นเรื่องที่พวกคุณตระกูลสวีเป็นคนชี้ตัดสินแล้วหรือไงครับ?” จ้าวเฉิงเฉียนเองก็หัวเราะเยาะออกมา “พูดเร็วเกินไปมั้งครับ?ถ้าคุณชายอิ่งา พวกคุณตระกูลสวีจะยังทำอะไรได้อีก?”

“หึๆ ๆ มาถึงงั้นหรอ?” สวีจิ่วหลิงหัวเราะอย่างได้ใจ “ผมจะบอกให้คุณฟังอย่างชัดเจนเลยนะว่าถ้าหากหลินอิ่งไม่ตาย อย่างนั้นก็คงจะต้องเป็นโชคดีของเขาแล้ว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท