ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 645 เอาเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกมาอย่างนั้นเหรอ?

บทที่ 645 เอาเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกมาอย่างนั้นเหรอ?

“เรื่องเคล็ดลับของแก๊งมังกรนั้น……” หลินอิ่งจ้องมองท่านมังกรดำด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจ

ท่านมังกรดำเป็นคนสูงใหญ่ เสื้อคลุมสีดำปกคลุมไปทั่วร่าง ภายในแสงจันทร์จางๆ ที่สาดส่อง เผยให้เห็นใบหน้าที่สง่างามออกมาเล็กน้อย

ชายคนนี้มีอายุประมาณสี่สิบปี ใบหน้าค่อนข้างน่าเกรงขาม ดั้งจมูกโด่ง ตาโบ๋ เหมือนมีลำแสงกำลังเฉิดฉายอยู่ในดวงตา ดูแล้วมันช่างแหลมคมเหลือเกิน

“คุณรู้เรื่องของเคล็ดลับของแก๊งมังกรแค่ไหน?” หลินอิ่งพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ท่านมังกรดำ

หลังมองไปทีหนึ่ง หลินอิ่งก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่า ท่านมังกรดำนั้นไม่ใช่สมาชิกดั้งเดิมของแก๊งมังกร

เพราะว่า เดิมทีพวกระดับสูงของแก๊งมังกรนั้น ถึงจะไม่เคยเห็นหน้ากัน หลินอิ่งก็เคยเห็นรูปลักษณ์มาก่อน กับพวกระดับสูงนั้นเขาเองก็รู้จักดี

และในความทรงจำของเขานั้น ไม่มีคนไหนที่ชื่อว่าท่านมังกรดำเลย

มีความเป็นไปได้สูงที่คนคนนี้จะเป็นยอดฝีมือที่ถูกส่งเข้ามาหลังจากอาจารย์กู้ต้าขึ้นปกครองแก๊งมังกรก็ได้

และไม่รู้ว่า ไปรู้เรื่องความลับเกี่ยวกับเคล็ดลับของแก๊งมังกรได้ยังไง และรู้เรื่องระยะวัฏจักรของตนได้ยังไง

“ฮึฮึฮึ……” ท่านมังกรดำเปล่งเสียงเย็นชาที่ทุ้มลึกออกมา แล้วจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เย็นชา “ตัวข้าบอกเจ้าก็ได้การที่ตัวข้าเข้ามาในแก๊งมังกรนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อเคล็ดลับของแก๊งมังกรนี่แหละ”

“เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตัวข้าก็โชคดีมีโอกาสได้ประจักษ์กับความร้ายกาจของเคล็ดลับของแก๊งมังกรแล้ว”

ท่านมังกรดำพูดออกมาอย่างช้าๆ “ด้วยเหตุนี้ ตัวข้านั้นได้ศึกษามาเป็นเวลาหลายปี เก็บเกี่ยวข้อมูลมากมายนับไม่ถ้วน จากการวิเคราะห์และในที่สุดก็ได้รู้ว่า จุดบกพร่องของเคล็ดลับของแก๊งมังกรอยู่ตรงไหน หลายปีที่ทุ่มเทมา ในที่สุดก็ได้รับการตอบแทนสักที

ใช่แล้ว เดิมทีท่านมังกรดำก็ไม่ได้เป็นคนของแก๊งมังกรอยู่แล้ว แค่เป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับอาจารย์กู้ต้า ช่วยอาจารย์กู้ต้าจัดกวาดล้างผู้ใต้บัญชาในอดีต แล้วเข้ามามีอำนาจในแก๊งมังกรเท่านั้น

ส่วนตัวเขานั้น ในใจก็คิดไม่ซื่อ ไม่เคยซื่อสัตย์กับอาจารย์กู้ต้ามาตั้งแต่แรกแล้ว

ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ท่านมังกรดำที่ติดตามคนบางคนที่อยู่ระดับแนวหน้าของแวดวงลึกลับ ก็เคยได้เห็นอดีตท่านประมุขแก๊งแสดงฝีมือมาแล้ว พลังอำนาจที่ล้นฟ้านั่น แค่คิดก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว

ในตอนที่อดีตท่านประมุขแก๊งลงมือ ท่านมังกรดำที่โดนแค่ลูกหลงยังถึงกับบาดเจ็บสาหัสเลย และมันก็ทำให้เขาจดจำความสูงส่งของเคล็ดลับของแก๊งมังกรได้อย่างขึ้นใจ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากความผิดพลาดที่ไม่คาดคิดในครั้งนั้น ด้วยโอกาสและความบังเอิญ ท่านมังกรดำก็พบกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ของแก๊งมังกรเข้าพอดี ไม่เพียงได้เข้ามาเป็นหนึ่งในระดับสูงของแก๊งมังกร แต่ยังได้ครอบครองข้อมูลที่เกี่ยวกับหลินอิ่งอีกด้วย

ในความคิดของเขา นี่มันเป็นลิขิตที่สวรรค์กำหนดให้เคล็ดลับของแก๊งมังกรต้องตกอยู่ในมือเขาแน่ๆ

หลินอิ่งจ้องมองท่านมังกรดำด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วพูดไปว่า “คุณคิดว่าเคล็ดลับของแก๊งมังกร เป็นสิ่งที่ใครก็สามารถเข้าไปสืบหาได้รึไง?”

“ต่อให้ผมยกมันให้คุณ แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะรับมันไหวรึไง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ท่านมังกรดำหัวเราะออกมาหลายครั้ง แล้วเหลือบมองไปยังหลินอิ่ง “ข้าจะรับไหวรึเปล่าอย่างนั้นเหรอ?”

“หลินอิ่ง ข้านั้นรู้เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้า ถ้าเจ้ายังคิดจะทำตัวดัดจริตอยู่ตรงนี้ ตัวเจ้าที่อยู่ในช่วงอ่อนแอนั้น ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวข้าเลย”

“ส่งเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกมา จะกับเจ้าหรือข้า เราต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งคู่”

“เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจึงไม่มีทางให้เลือกอีก”

ท่านมังกรดำได้ใช้ความน่าเกรงขามที่ไม่อนุญาตให้ต่อต้าน พูดคำพูดเหล่านั้นออกมา

“ให้ส่งเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกไปอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งไม่แสดงออกว่าเอาด้วยหรือไม่ ส่ายหน้าแล้วยิ้ม

เคล็ดลับของแก๊งมังกร ตอนนี้มันอยู่ในหัวของเขา

ถ้าเขาอยาก เขาก็สามารถบอกให้ท่านมังกรดำได้ทุกอย่างเลย

แต่ว่า หลินอิ่งไม่มีทางทำเรื่องที่โง่เขลาแบบนั้นแน่นอน

ศึกในครั้งนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เคล็ดลับของแก๊งมังกรก็คือไพ่ตายทีทีเด็ดของเขา

ถ้ายอมเอาออกมาง่ายๆ แบบนั้น ตัวเขาก็จะสูญเสียสิทธิ์ในการต่อรองไป แม้แต่ความปลอดภัยของฉีโม่ก็คงรับประกันไม่ได้

“หลินอิ่ง นี่เจ้ายังจะกังวลอะไรอีก?” ท่านมังกรดำถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้ากลัวว่าหลังจากที่ส่งเคล็ดลับของแก๊งมังกรออกมาแล้ว ข้าจะถีบหัวส่งใช่มั้ย?”

“ข้านั้นสามารถบอกเจ้าอย่างตรงๆ เลยว่า หลังจากที่ข้าได้รับเคล็ดลับของแก๊งมังกรแล้ว ไม่เพียงจะปล่อยตัวจางฉีโม่ภรรยาของเจ้า แต่ข้ายังตั้งใจจะมอบอนาคตที่ยอดเยี่ยมให้เจ้า มอบโอกาสที่จะได้แก้แค้นอาจารย์กู้ต้าให้แก่เจ้า”

“เจ้าควรเข้าใจอะไรไว้อย่างหนึ่ง จากคนที่ไม่มีความผิด แต่พอเก็บซ่อนของกลางเอาไว้ก็จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้ตนขึ้นมา ด้วยสภาพของเจ้าตอนนี้ มันไม่คู่ควรที่จะครอบครองเคล็ดลับของแก๊งมังกรเลยสักนิด” ท่านมังกรดำพูดออกมาอย่างช้าๆ “การเก็บมันไว้ มีแต่จะทำให้เจ้าเดือดร้อนเปล่าๆ”

“เอาแบบนี้สิ เอามันออกมาแบ่งปันให้กับข้า ข้าไม่เพียงช่วยเจ้าแบกรับความเสี่ยงไปด้วยกัน แต่จะช่วยเจ้ากำจัดอุปสรรค แล้วขึ้นเป็นประมุขของแก๊งมังกรอีกครั้ง ต่อไปก็มาแบ่งปันใต้หล้ากับข้า แบบนี้มันดีจะตายไม่ใช่รึไง?”

ท่านมังกรดำพูดโน้มน้าว

คำพูดของเขานั้นแฝงด้วยความยุยงและล่อตาล่อใจ

ในสถานการณ์ตอนนี้ การที่หลินอิ่งเลือกร่วมมือกับเขา เป็นเพียงตัวเลือกที่ฉลาดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

นอกเหนือจากนี้ หลินอิ่งยังมีทางไหนให้เลือกอีก

สู้ตายกับเขา? หลินอิ่งกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ แล้วจะมีความมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

ยิ่งไปกว่านั้น หลินอิ่งยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของภรรยามาก แล้วจะไปยอมละทิ้งทุกอย่างได้ยังไง?

ถ้ายอมถอยแค่ก้าวเดียว ก็เท่ากับยอมถอยเป็นหมื่นก้าว

หลินอิ่งในตอนนี้ ก็ยังต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างท่านมังกรดำ ถึงจะสามารถรับมือกับการไล่ล่าของแก๊งมังกรได้

ไม่อย่างนั้น ถ้าต้องมีเรื่องกันจนแตกหักไปละก็ ไม่ต้องให้ท่านมังกรดำลงมือเองก็ได้ แค่ป่าวประกาศข้อมูลของหลินอิ่งออกไป แก๊งมังกรทั้งแก๊งก็จะเคลื่อนไหว แล้วตามล่าหลินอิ่งอย่างบ้าคลั่ง

ที่สำคัญ กองกำลังลึกลับพวกนั้นไม่มีทางปล่อยให้โอกาสที่จะได้ฝืนสวรรค์นี้หลุดไป พวกเขาต้องยกโขยงหันมาแย่งชิงเคล็ดลับของแก๊งมังกรที่อยู่กับหลินอิ่งแน่นอน

“จะให้ความร่วมมือกับคุณเหรอ?” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”

“ก่อนอื่นก็ปล่อยตัวภรรยาของผมมาก่อน ผมอยากเห็นว่าคุณจะรักษาคำพูดขนาดไหน”

ท่านมังกรดำขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าอยากเจอหน้าภรรยาของเจ้าใช่มั้ย? มันก็ย่อมได้”

พูดจบ ท่านมังกรดำก็โบกมือใหญ่ๆ ของเขา

ทันใดนั้น หัวกะทิองครักษ์มังกรดำหลายคนก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เปิดทำงานเครื่องจักรอยู่ด้านหลัง ไม่นานหน้าจอ จอหนึ่งก็ได้เลื่อนลงมาจากบนบ้าน ในนั้นได้ฉายภาพของจางฉีโม่ที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง

ในจอนั้นสามารถมองเห็นจางฉีโม่ที่กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหาร สีหน้าปกติ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น

“เจ้าได้เห็นภรรยาของเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว” ท่านมังกรดำค่อยๆ พูดออกมา “แต่ถ้าเจ้ายังดึงดันที่จะหัวรั้นอยู่อีก งั้นข้าก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของเธอได้อีก……”

หลินอิ่งพยายามควบคุมตัวเองให้ใจเย็นที่สุด มองดูจางฉี่โม่ที่อยู่ในจอ

ข้อมือของเขานั้นเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาแทบจะควบคุมความโกรธที่อยู่ในใจไว้ไม่ไหวแล้ว

สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือ การที่มีคนมาข่มขู่เขานี่แหละ

“ว่ายังไง? หลินอิ่ง?” ท่านมังกรดำพูดออกมาอย่างช้าๆ “ข้านั้นได้ให้เวลาในการตัดสินใจกับเจ้าอย่างเพียงพอแล้วและยังเหลือที่ว่างที่มากพอให้เจ้าอีก จะยอมสงบศึกแล้วหันมาจับมือกัน หรือจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง สิทธิ์ในการตัดสินใจ ข้าได้มอบมันจนถึงมือเจ้าแล้ว”

หลินอิ่งเงียบไปพักใหญ่ ลมปราณไหลเวียนไปทั่วร่าง ปลดปล่อยจิตสังหารที่น่ากลัวออกมา

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคุณมีความสามารถขนาดไหน ถึงกล้ามาถามหาเคล็ดลับของแก๊งมังกรแบบนี้”

เมื่อคำพูดที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารของหลินอิ่งจบลง

ร่างกายของเขาก็กลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งตรงไปที่ท่านมังกรดำ

“หึ!”

ท่านมังกรดำทำเสียงฮึดฮัดออกมาทีหนึ่ง จิตสังหารอัดแน่นอยู่ในแววตา

เขาเองก็รู้ดี ว่าแค่ปากเปล่ามันไม่มีทางโน้มน้าวหลินอิ่งได้อยู่แล้ว จำเป็นต้องให้กำลังจับกุม จึงจะทำให้หลินอิ่งยอมอยู่ในอาณัติได้

ที่สำคัญ กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเหมือนกัน!

ตูม!

ท่านมังกรดำเตะขาออกไป ร่างกายของเขาก็กลายเป็นพายุที่บ้าคลั่ง และพุ่งเข้าใส่หลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท