ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 673 นายลองลอดเข้าไปดูสิ

บทที่ 673 นายลองลอดเข้าไปดูสิ

สายตาที่หลุยหรุ่ยมองจางฉีโม่ นั้นดูร้ายๆ มีความคิดที่ไม่ดีอะไรบางอย่าง

เขาก็เป็นคนเจ้าสำราญคนนึง แต่ในอำเภอเจียงเยว่แบบนี้ ก็ไม่เคยพบเจอสาวสวยที่มีสไตล์แบบนี้มาก่อน

แล้วก็ สาวสวยแบบนี้ กลับไปเป็นแฟนของเจ้าคนบ้านนอกต่างถิ่น? แถมยังเป็นไอ้คนไร้ประโยชน์ที่ถูกซ้อมจนเดี้ยง?

เห็นได้ชัดว่าเป็นดอกไม้งามที่ปักอยู่ในกองขี้วัว

“นายเป็นใคร? พูดอะไร? กรุณาระวังคำพูดกับการกระทำของตัวเองด้วย” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าเปลี่ยนเป็นแย่มากๆ

หลุยหรุ่ยคนนี้ สายตาที่มองมา เห็นได้ชัดว่าไปทางหื่นกามมากๆ

“คุณผู้หญิง พูดจาเกรงใจหน่อยนะ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เป็นคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่เชียวนะ เธอฟังเรื่องฐานะของคุณชายหลุยให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยพูดก็ไม่สาย”

ผู้ดูแลข้างกายหลุยหรุ่ยคนนึงพูดอย่างเย่อหยิ่ง

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา และพูดอย่างนิ่งๆ : “กู่ชางไห่ เตือนความจำพวกเขาหน่อย”

พูดจบ เขาก็จูงมือจางฉีโม่เดินไปทางห้องรังสรรค์

“ใครให้พวกแกไปกัน? แม่มึง คุณชายหลุยถามพวกแกไม่ได้ยินใช่มั้ย?”

ผู้ติดตามหลุยหรุ่ยคนนึงพุ่งเข้ามา ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดหวังจะลงมือกับหลินอิ่ง

ผลั๊วะ!

พวกชายร่างหนาที่จะลงมือกับหลินอิ่ง กู่ชางไห่ก้าวขึ้นหน้า สองหมัดชกออกไปข้างหน้า

สองหมัดนี้ต่อยจนเกิดเสียงหนัก ชายร่างหนาแข็งแรงสองคน พริบตาเดียวก็ถูกชกจนอ่อนปวกเปียกลงไปกองกับพื้น กระดูกในร่างกายนั้นราวกับถูกชกจนหักหมด จนสั่นไปทั่วร่าง และกระอักเลือดออกมา

“แก!ไอ้เดี้ยงเอ๊ย ฉันไว้หน้าแกแล้วหรือไง? ยังจะกล้าเรียกคนของนายลงไม้ลงมือ?” สายตาของหลุยหรุ่ยโหดเหี้ยม และพูดอย่างโมโห “แล้วก็แกไอ้แก่ คิดจริงๆ เหรอว่ามีฝีมือนิดหน่อย แล้วฉันจะสู้แกไม่ได้แล้วน่ะ?”

“ไป ไปเรียกคนมา!” หลุยหรุ่ยโกรธจัด และสั่งคนติดตามข้างกาย

โครม!

ขณะที่หลุยหรุ่ยกำลังโวยวาย กู่ชางไห่ก็คว้าเก้าอี้ขึ้นมา และเขวี้ยงข้ามหัวเขาไปอย่างบ้าคลั่ง กระแทกโดนหัวคนที่อยู่ตรงนั้น จนล้มไปกับพื้นและร้องโอดครวญ

“เห้ย!แก แกยังกล้าทำร้ายฉันเหรอ?”

หลุยหรุ่ยทั้งตกใจทั้งโกรธพลางจ้องไปทางหลินอิ่งกับกู่ชางไห่ และยื่นมือขึ้นไปลูบหน้าผากตัวเอง ลูบโดนเลือดจนเต็มมือ

เก้าอี้ม้านั่งของกู่ชางไห่กระแทกเข้าไป หลุยหรุ่ยถูกกระแทกจนหน้าบวมช้ำ ศีรษะกระแทกจนเกิดรู เลือดไหลนอง

“วันนี้ฉันจะกำจัดแกทิ้งซะ!แม่งเอ๊ย รนหาที่ตาย!”

หลุยหรุ่ยแหกปากด่า พลางลุกขึ้นยืนอย่างแรง โมโหจนตัวสั่นไปทั่วร่าง

นี่มันเป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงเลย อยู่ที่อำเภอเจียงเยว่เขาเคยได้รับความอัปยศแบบนี้เมื่อไหร่กัน กลับถูกคนทำร้ายจนหัวแตกแบบนี้?

หลุยหรุ่ยอยากจะพูดอะไรสักอย่าง กู่ชางไห่ก็พุ่งเข้าไป และถีบเข้าไปอีกสองทีจนทำเอาเขาลงไปกลิ้งกับพื้น เป็นภาพที่น่าอับอายสุดๆ

“ขืนพูดมากอีก ฉันจะนายอัดให้เดี้ยง!”

กู่ชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แสดงให้เห็นจิตสังหารที่เยือกเย็น

หลุยหรุ่ยตกใจกลัวตัวสั่น สายตาเป็นไปด้วยความชั่วร้าย เขาจ้องกู่ชางไห่ตาเขม็ง ไม่พอใจสุดๆ แต่เขาก็กลัวฝีมือของชายแก่ผู้นี้

หลุยหรุ่ยจ้องแผ่นหลังของหลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินเข้าไปในห้องรังสรรค์ เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงหึอย่างเย็นชา และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก

“กล้าดีนี่ ยังจะกล้าอยู่ที่นี่กินข้าวต่อ พวกนายคอยดูเถอะ!” หลุยหรุ่ยพูดสบถเล็กน้อย และก็หันหลัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อบางคน

สีหน้าของกู่ชางไห่เข้ม และมองไปทางพนักงานต้อนรับหญิงที่ตกตะลึง และพูดอย่างเคร่งขรึม: “เรื่องห้องอาหารคุยกันเรียบร้อย เธอจัดการเสิร์ฟอาหารได้เลย อย่าขัดขวางการรับประทานอาหารของประธานหลินกับภรรยา”

“คะ?” พนักงานต้อนรับหญิงทำหน้าช็อก และชะงักอยู่ครู่ และก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง พลางมองไปทางกู่ชางไห่ด้วยความกลัว

เธอยังไม่ได้สติกลับมาหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในใจสถานะยังคงรู้สึกช็อกถึงขีดสุด

สถานการณ์ไหนเนี่ย? เป็นถึงคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่ กลับถูกคนธรรมดาอัดซะจนเหมือนหมา?

แล้วก็ คนที่ลงมือ ยังกล้าอยู่กินข้าวที่โรงแรมเครสเซนต์ต่ออีก? นี่มันต้องมีความกล้าขนาดไหนเนี่ย? ไม่กลัวอิทธิพลของคุณชายหลุยแห่งอำเภอเจียงเยว่ ไม่กลัวโดนเอาคืนเหรอ?

“ทำไม? พวกเธอเปิดโรงแรม แม้แต่อาหารยังเสิร์ฟไม่ได้เหรอ?” กู่ชางไห่หึเสียงเย็นชา

“เอ่อ!ค่ะๆ วางใจได้ค่ะท่าน ฉันจะได้เตรียมเสิร์ฟเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” พนักงานต้อนรับหญิงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทีเทียบกับเมื่อกี้คนละเรื่องเลย

อีกฝ่ายเป็นคนที่แม้แต่คุณชายหลุยบอกว่าจะอัดก็อัด

เธอเป็นแค่พนักงานต้อนรับตัวเล็กๆ จะกล้าไปขัดใจได้ที่ไหน

ต่อมา กู่ชางไห่ก็มายืนเฝ้าหน้าห้องอาหารด้วยความเคารพ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของพวกคุณชายหลุยเลยแม้แต่น้อย

ไม่นาน พนักงานก็ยกถาดอาหารมา และเดินเข้าไปในห้องรังสรรค์อย่างติดๆ

ด้านในห้องรังสรรค์ หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งอยู่ด้วยกัน

บนโต๊ะอาหารหยก ได้วางจานชามลายครามงดงามเรียงกันอยู่หลายใบ น้ำซุปอร่อยๆ ล้วนมีความวิจิตรงดงาม ครบเครื่องทั้งสีสัน กลิ่นหอม และดูแพง

นับตั้งแต่อาหารเสิร์ฟ เห็นได้เลยว่าฝีมือของเชฟในโรงแรมเครสเซนต์นั้นเก่งกาจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะได้รับการเคารพในอำเภอเจียงเยว่

แต่ว่า หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็ได้เห็นภาพแบบนี้จนเคยชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรมาก

“คุณเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก กินหัวปลา เข้าไปเสริมหน่อยนะคะ” จางฉีโม่พูดอย่างอ่อนโยน หัวปลาถูกคีบวางลงในชามของหลินอิ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความห่วงใย

หลินอิ่งยิ้มแย้ม และลองชิม รสชาติสดใหม่ เนื้อตรงส่วนนี้ เป็นส่วนที่นุ่มและเด้งที่สุด

“หลินอิ่ง พวกคนด้านนอกเมื่อกี้ คงจะไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย เหมือนกับว่ายังจะมาหาเรื่องคุณ” จางฉีโม่เอ่ยปากพูด สีหน้ากังวลเล็กน้อย

“ก็แค่พวกอันธพาลเที่ยวหาเรื่องน่ะ พวกเรากินกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนั้น” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

“อื้ม” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

ทั้งสองคน ก็ค่อยๆ ลิ้มรสชาติอาหารเลิศรส ต่างคนต่างพูดคุยเรื่องหยุมหยิม บรรยากาศเป็นใจสุดๆ

และด้านนอกห้องรังสรรค์ ด้านในห้องอาหาร

ในขณะนี้ นั้นวุ่นวายจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้

หลุยหรุ่ยโทรศัพท์ เรียกคนมาสิบกว่าคน บุกเข้าไปในห้องอาหารอย่างอุกอาจ

ส่วนกู่ชางไห่ก็ยืนขวางหน้าประตูห้องรังสรรค์ไว้อยู่คนเดียว และโยนพวกที่พุ่งเข้ามา คิดจะมาหาเรื่องกลับไปยังดีที่ห้องรังสรรค์นั้นเก็บเสียงได้ดี ความเคลื่อนไหวด้านนอก ไม่ได้รบกวนการทานอาหารของหลินอิ่งกับจางฉีโม่เลย

“แม่งเอ๊ย มีความสามารถจริงๆ ให้บอดี้การ์ดยืนเฝ้าหน้าห้อง เอะอะเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตัวเองยังกลับกล้านั่งกินข้าวอยู่ข้างในสบายใจเฉิบ เสแสร้งดีจริงๆ นะ!”

ชายวัยกลางคนที่คล้ายคลึงหลุยหรุ่ย ยืนเท้าเอวอยู่กลางร้านอาหาร และมองกู่ชางไห่ด้วยสายตาเย็นชา

ข้างกายเขา ยังมีผู้ติดตามอีกเป็นโหลๆ ชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูเหมือนอันธพาล

“ลุงสอง เรื่องวันนี้ยอมไม่ได้นะครับ หลังจากนี้ผมไม่มีหน้าอยู่ต่อในอำเภอเจียงเยว่แล้ว” หลุยหรุ่ยพูดเสียงเข้ม สีหน้าไม่พอใจ

ลุงสองของหลุยหรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม พลางจ้องกู่ชางไห่เขม็ง ความโกรธก็มีมากเหมือนกัน

ไม่รู้ศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน ถึงกลับมาทำร้ายหลานของตน แถมยังกล้านั่งกินข้าวสบายใจเฉิบที่โรงแรมเครสเซนต์ต่ออีก ช่างกล้าดีซะจริง

“จัดการไอ้หมอนั่น บุกเข้าไป แล้วลากคอคนที่กินข้าวด้านในออกมา!” ลุงสองของหลุยหรุ่ยออกคำสั่งอย่างเย็นชา

“เล่นมันให้ตา!ผลลัพธ์ทั้งหมด ฉันรับผิดชอบเอง!”

จากคำพูดของชายวัยกลางคนที่กิตติศัพท์สูงส่งคนนี้พูด ชายร่างหนาในห้องอาหารทั้งหมดก็ยกท่อนเหล็กขึ้น และค่อยๆ ล้อมเข้าไป คิดจะทุบทำลายสถานที่นี้

“พวกนายใครกล้าลอดเข้าไปดูสิ!”

ในขณะนั้น ด้านหน้าประตูห้องอาหารก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท