ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 662 ขอโทษพวกเรา

บทที่ 662 ขอโทษพวกเรา

“พวกคุณ พวกคุณอย่ามาพูดเหลวไหล!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห

เธอไม่สามารถทนเห็นสองคนนี้พูดใส่ร้ายหลินอิ่งได้

“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่เห็น พวกเราพูดอะไรผิดสักคำไหม?” ไอ้เฉียนกล่าวเยาะเย้ย “ถ้าหลินอิ่งมีความประพฤติดี เขาจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาเรื่องความประพฤติแน่นอน!”

“ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พวกคุณยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงที่ว่าหลินอิ่งนั้นเป็นคนไร้ประโยชน์อีกหรือ?”

“งั้นพวกคุณบอกมาสิว่า ทำไมหลินอิ่งลูกเขยของคุณถึงถูกทำร้ายจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และทำไมเขาถึงมีจุดจบแบบนี้ได้?”

ไอ้เฉียนกล่าวเยาะเย้ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ในความรู้สึกของเขาแล้ว ครอบครัวจางฉีโม่เป็นคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด อวดว่าหลินอิ่งเป็นคนที่มีความสามารถ?

มันเป็นแค่เรื่องตลกที่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น ตอนนี้หลินอิ่งถูกคนทำร้ายจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราแล้ว พวกเขายังปากแข็งอีก?

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ?” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห

“ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ พวกคุณอย่ามารบกวนการพักผ่อนของหลินอิ่ง เชิญพวกคุณออกไปเดี๋ยวนี้!”

“อ้อ? ไม่ต้อนรับพวกเรา ทำไมหรือ? คุณคิดว่าโรงพยาบาลประจำอำเภอเป็นของพวกคุณหรือ? คนอื่นถึงไม่สามารถมาได้?” ไอ้เฉียนกล่าวเย็นชา ด้วยท่าทีที่หยิ่งผยอง

“ผมสนิทสนมกับผู้อำนวยการหลิวของโรงพยาบาลประจำอำเภอเป็นอย่างมาก ถ้าคุณยังมีกิริยาที่ไม่มีความเคารพเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าผมสามารถให้ผู้อำนวยการหลิวจัดการเรื่องครอบครัวคุณ”

“โธ่ ยังมาบอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกเราอีก พวกคุณนั้นไม่เคยเห็นว่าพวกเราเป็นคนในครอบครัวใช่ไหม?” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด

“อย่ามาบอกว่าหลินอิ่งต้องการพักผ่อน ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าชายนิทราแล้ว จะพักผ่อนอย่างไรล่ะ?”

ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ยิ่งพูดก็ยิ่งถากถาง

“ฉีโม่เอ๋ย ป้ากังวลเกี่ยวกับอนาคตของคุณเป็นอย่างมาก สามีคุณกลายเป็นเจ้าชายนิทราและนอนอยู่ในโรงพยาบาล จากนี้ไป คุณต้องอยู่คนเดียว แล้วคุณจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

“เอาอย่างนี้ ป้าจะแนะนำผู้ชายดี ๆ สักสองสามคนให้คุณเลือก แล้วต่อไปนี้อย่ามาพูดอีกว่าหลินอิ่งสามีของคุณนั้นมีความสามารถแค่ไหน คนไร้ประโยชน์ก็คือคนไร้ประโยชน์วันยังค่ำ มันเป็นความจริง”

“ไม่เพียงแต่เป็นคนไร้ประโยชน์เท่านั้น แต่ตอนนี้เขายังเป็นเจ้านายนิทรานอนอยู่บนเตียง ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ยังต้องเสียข้าวสุก ครอบครัวของพวกคุณไม่กลัวคนหัวเราะเยาะหรือไง?”

“พวก พวกคุณ……”

จางฉีโม่โกรธจนตัวสั่น อยากจะเดินเข้าไปตบลู่ฉ่ายเชียให้รู้แล้วรู้รอด

พวกเขาทำเกินไปแล้ว มาเยาะเย้ยถากถางถึงโรงพยาบาล!

โดยเฉพาะ ยังเยาะเย้ยหลินอิ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนเตียง

“ไสหัวออกไป! ฉันบอกให้พวกคุณไสหัวออกไปจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”

จางฉีโม่ชี้ไปที่ลู่ฉ่ายเชียและกล่าวด้วยความโมโห

จางฉีโม่รู้สึกโกรธมากจริง ๆ และหายากที่เธอจะอารมณ์เสียขนาดนี้

ปกติเธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพอ่อนโยน ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตอยู่มานานกว่า 20 ปีแล้ว และเธอก็ยังไม่เคยทะเลาะกับใคร

อย่างไรก็ตาม แต่วันนี้เนื่องจากเป็นเรื่องของหลินอิ่ง จึงทำให้เธอรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

เธอไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้ายและดูถูกเหยียดหยามหลินอิ่งอีกต่อไป

เมื่อก่อน หลินอิ่งคอยปกป้องเธออยู่เสมอ

และตอนนี้ หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนเตียงเพราะเธอ และเธอยากจะปกป้องหลินอิ่งเท่าที่จะสามารถทำได้

“ฮึ่ม!”

ไอ้เฉียนฮึ่มเสียงเย็นชา ด้วยสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

เขาหรี่ตาแล้วมองไปที่จางฉีโม่ และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คุณบอกให้พวกเราไสหัวออกไป? คุณได้รับการอบรมสั่งสอนบ้างไหม? นี่อะไร? ผมอุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมคนป่วยของครอบครัวคุณ ยังจะบอกให้ผมไสหัวออกไปอีก?”

ตะกร้าผลไม้ที่ไอ้เฉียนถืออยู่ในมือตกลงมาต่อหน้าจางฉีโม่

“วันนี้ผมจะรบกวนหลินอิ่ง มีอะไรไหม? เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่อะไรหรือ? ถึงจะสามารถไปเยี่ยมได้?”

ไอ้เฉียนกล่าวอย่างหยิ่งยโส

“โอ้ ฉีโม่ สิ่งที่คุณพูดมันน่าเกลียดเกินไปแล้ว? คุณได้รับการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนมาแบบไหนนี่? กล้าบอกให้พวกเราที่เป็นผู้อาวุโสให้ไสหัวออกไป” ลู่ฉ่ายเชียด้วยความตื่นตระหนก

“จางฉีโม่ คุณนี่ไม่เอาไหนเลย! สามีของคุณถูกทำร้ายอย่างหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดี แต่คุณไม่ควรมาระบายอารมณ์กับผู้อาวุโสในครอบครัวน่ะ? ถ้าคุณมีความสามารถก็ไปแก้แค้นให้หลินอิ่งสิ พวกเรามาเยี่ยมสามีคุณ และพวกเรายังอยากจะกู้หน้าให้หลินอิ่งอีกด้วย แต่คุณกลับแสดงกิริยาเช่นนี้หรือ?”

“ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือ ฉันจะให้คนตระกูลลู่มาตัดสินเรื่องนี้แล้ว!” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยรู้สึกที่ถูกเข้าใจผิด

“น้องหย่าฮุ่ย ซิ่วเฟิง พวกคุณสองคนเห็นฉีโม่ด่าผู้หลักผู้ใหญ่แล้วยังไม่บอกให้เธอขอโทษพวกเราหรือ?”

ลู่ฉ่ายเชียมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงด้วยความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

“คือ…..” จางซิ่วเฟิงและลู่หย่าฮุ่ยพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง

พวกเขาสองคนไม่รู้ว่าวันนี้ลูกสาวเป็นอะไร อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก และด่าว่าคนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฉีโม่ ลูกระงับความโกรธไว้หน่อย ยังไงพวกเขาก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าเอะอะก็บอกคนอื่นให้ไสหัวออกไป” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวเตือน

ตอนนี้หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่บนเตียง ทำให้ลู่หย่าฮุ่ยไม่กล้าท้าทายครอบครัวของลู่ฉ่ายเชีย

และไม่กล้าล่วงเกินในอาณาเขตของพวกเขา เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นคนร่ำรวยและมีอำนาจในอำเภอเจียงเยว่

“ฮึ่ม!” ไอ้เฉียนฮึ่มเสียงเย็นชา และกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ว่า “ซิ่วเฟิง คุณบอกให้จางฉีโม่ลูกสาวของคุณขอโทษพวกเราเดี๋ยวนี้! บอกพวกเราไสหัวออกไปเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ผมจะบอกพวกคุณว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าพวกคุณเป็นญาติของลู่ฉ่ายเชีย ผมเรียกคนมาจัดการพวกคุณนานแล้ว!”

“พวกคุณไม่รู้หรือว่า คนในอำเภอเจียงเยว่ไม่มีใครที่ไม่ให้เกียรติผมเฉียนขว้าง? และมีกี่คนที่กล้าบอกให้ผมไสหัวออกไปต่อหน้า?”

ไอ้เฉียนกล่าวด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม และวางอำนาจบาตรใหญ่ ปฏิบัติกับจางซิ่วเฟิงราวกับว่าออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชา

จางซิ่วเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นมองไปที่จางฉีโม่และกล่าวว่า “ฉีโม่ พวกเขาเป็นผู้อาวุโส ลูกอย่าพูดจาหยาบคายเช่นนั้น ขอโทษผู้อาวุโสทั้งสองคนเถอะ มีเรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี”

“พวกเขาเป็นผู้อาวุโสประเภทไหน? ทำไมฉันต้องขอโทษพวกเขาด้วย?” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห

เรื่องอื่น ๆ เธออาจขอโทษได้

แต่ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องของหลินอิ่ง เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ประนีประนอม

“โอ้ ซิ่วเฟิง คุณดูฉีโม่สิ ถึงเวลาต้องอบรมสั่งสอนแล้ว ไม่ไหวจริง ๆ!” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวเยาะเย้ย “ไม่น่าแปลกใจที่พวกคุณฐานะไม่ดี เพราะมีนิสัยแบบนี้เอง!”

“ช่างมัน ช่างมันเถอะ! คุณไม่ต้องการคุยกับครอบครัวของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”

ไอ้เฉียนกล่าวขัดจังหวะด้วยท่าทางที่หงุดหงิด

“วันนี้ผมจะรบกวนหลินอิ่งแน่นอน ผมจะคอยดูว่า เขามีฐานะตัวตนอะไร? ถ้าผมรบกวนเขาแล้วครอบครัวของพวกคุณจะทำอะไรผมได้?”

ไอ้เฉียนกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ผมจะคอยดูว่า วันนี้ใครจะขวางผมได้!”

หลังจากนั้น ไอ้เฉียนก็วางมาดเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่งด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง

“ไม่อนุญาตให้พวกคุณบุกเข้าไป!”

จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห และยืนขวางลู่ฉ่ายเชียกับไอ้เฉียนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย

“ฮ่า ๆ คุณบอกว่าไม่อนุญาตก็ไม่สามารถเข้าไปได้หรือ? วันนี้ผมจะหยาบคายแบบนี้แหละ และผมจะคอยดูว่า หลินอิ่งนั้นสูงศักดิ์แค่ไหน?” ไอ้เฉียนกล่าวเยาะเย้ย “แล้ววันนี้คุณต้องถอนคำพูดด้วย และถ้าไม่ขอโทษผม ก็อย่ามาบอกว่าผมไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ และไม่เกรงใจครอบครัวของคุณ!”

จางฉีโม่รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรออก

“ฮาโหล คุณเสิ่นซานหรือเปล่า?” จางฉีโม่ถามอย่างเคร่งขรึมขณะที่ถือโทรศัพท์อยู่ในมือ

“สวัสดีครับ คุณนายหลิน ผมเสิ่นซานครับ ไม่รู้ว่าคุณมีอะไรจะสั่งครับ” เสียงนอบน้อมของเสิ่นซานดังมาจากโทรศัพท์

“คุณเสิ่น คุณมาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอตอนนี้เลย มีคนรบกวนการพักผ่อนของหลินอิ่ง คุณมาขวางพวกเขาด้วย” จางฉีโม่กล่าวอย่างเคร่งขรึม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท