ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 679 หัวใจที่แหลกสลาย

บทที่ 679 หัวใจที่แหลกสลาย

“บุตรแห่งสวรรค์อย่างคุณชายเก้า ทำไมถึงพ่ายแพ้ให้กับชายแก่นิรนามนั้นได้?” ไอ้สี่พูดกระซิบกับตัวเอง ตอนนี้ทั้งสงสัยและตกใจ

เขาจ้องมองหลินอิ่ง ดูเหมือนจะรู้เงื่อนงำบางอย่างบนตัวหลินอิ่ง

ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งรับรู้ความรู้สึกลึก ๆ เกินคาดเดาของหลินอิ่งได้

“แกรอดูไปก่อนเถอะ ไอ้สี่ วันนี้คุณชายเก้าประสบกับความลำบากครั้งใหญ่ แกต้องจดจำให้ดี มองศึกครั้งนี้ให้ทะลุ” ผู้อาวุโสฉินกล่าวไว้เป็นบทเรียนว่า “นี่คือบทเรียนที่คุณชายเก้าต้องจ่ายด้วยความขมขื่นเพื่อแลกมันมา ประสบการณ์อันล้ำค่านี้ ไม่ใช่พูดแค่สองสามคำแล้วจะได้มันมา แกซึมซับมันให้ดีๆแล้วกัน”

เมื่อได้ฟังผู้อาวุโสฉินพูดอย่างหนักใจ ในใจของไอ้สี่ยิ่งตกใจมากกว่า แสดงถึงความลังเล

คุณชายเก้าและหลินชิงเย่ พวกเขาเป็นผู้มีฝีมือติด1 ใน 5 ของตระกูลหลินและมีชื่อเสียงมากทั้งยังอยู่ในอันดับต้น ๆ ของวงการนี้

ในอันดับต้น ๆ คุณชายเก้าและหลินชิงเย่ไอดอลและบุคคลต้นแบบให้กับคนในตระกูลหลินมากมาย

ช่างเป็นหนุ่มสาวที่มีความสามารถ จะมาแพ้ให้กับชายชราที่บูโดต่ำกว่าจริง ๆ หรือ?

อย่างไรก็ตาม ไอ้สี่ไม่กล้าสงสัยคำพูดของผู้อาวุโสฉินต่อหน้า

ผู้อาวุโสฉิน เป็นสมาชิกคณะกรรมการผู้อาวุโสของตระกูลหลิน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจในการตัดสินใจสูงของตระกูลหลินแห่งลังยา และเขายังถือพลังแห่งชีวิตและความตายไว้ในมือ

ในตระกูลหลิน ผู้อาวุโสฉินแม้จะเป็นคนนอก แต่เขาเป็นทหารผ่านศึกเก่าของบรรพบุรุษในตระกูลหลิน ทั้งสถานะของเขานั้นสูงกว่าคนในตระกูลหลินหลายชั่วอายุคน

และผู้อาวุโสฉินเอง มีบูโดการต่อสู้ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ทั้งยังได้ยินมาว่าอยู่ในระดับต้นๆของยอดฝีมือ

คราวนี้มาจับกุมหลินอิ่ง

ผู้อาวุโสฉินเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริงแทนคนเหล่านั้นได้ เมื่อเทียบกับหลินชิงเย่แล้ว ยังมีคุณลุงหลินสวนถูที่อยู่ในตี้จิง ยิ่งมีอำนาจในการพูดมากกว่า

ตอนนี้สมาชิกคณะกรรมการผู้อาวุโสของตระกูลหลินมีคำสั่งจากแม่เฒ่าให้ลงมาที่ภูเขา!

“แต่…. แต่ว่า คุณชายเก้า ผมไม่มีทางเชื่อ ว่าคุณชายเก้าจะแพ้ให้กับชายชราคนนี้ ก็เพราะว่าหลินอิงเคยสอยกลอุบายต่าง ๆ ให้กับชายชราเช่นนี้ มันบ้าไปแล้ว” ไอ้สี่พูดอย่างเคร่งขรึมแต่ก็ยังไม่เชื่อ

“เฮ่อ” ผู้อาวุโสฉินพยักหน้าพลางยิ้มแย้ม “หนุ่มสาวเนี่ย ต้องโดนทุบหัวให้เลือดออกก่อน ถึงจะเข้าใจความจริงสินะ”

“งั้น แกก็เห็นชัดแล้วนะ วันนี้เป็นวันหายนะสำหรับคุณชายเก้า ถ้าเขาสามารถผ่านมันไปได้ เขาจะบรรลุขีดความสามารถ แต่หากเขาไม่สามารถรับมือได้ อนาคตของศิลปะการต่อสู้ก็อาจจะพังทลาย ”

“อะไรนะ?”

“ผู้อาวุโสฉิน ที่แท้ท่านมองออกถึงอันตรายอันใหญ่หลวงของคุณชายเก้า ทำไมถึงไม่รีบช่วยก่อน?”

“นั้นนะสิ ผู้อาวุโสฉิน เราควรเข้าไปช่วยไหม?”

ในขณะนี้ หนุ่มสาวผู้มีฝีมือสูงทรงรอบตัวผู้อาวุโสฉิน สีหน้าต่างดูไม่จืด กังวลอันตรายและความปลอดภัยของหลินชิงเย่

ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า เย็นชาพูดว่า: “ใครก็ห้ามเข้าไปช่วย!”

“คุณชายเก้าหลินชิงเย่เป็นคนที่หยิ่งในตัวเอง หากคนอย่างพวกแกลงไปช่วยละก็ มีแต่จะทำเขาอารมณ์เสีย” ผู้อาวุโสฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “นี่เป็นการต่อสู้ซื่อสัตย์ ยิ่งกว่านั้นยังต้องรับมือพลังปราณของชายชราที่อ่อนแอกว่า”

“ถ้าแกอยากจะไปอีก มันจะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะครอบครัวหลินของเราเหรอ? ยังอยากให้คุณชายเก้ามีไว้หน้าอยู่ไหม?”

“นอกจากนี้ นี้ไม่ใช่การไล่ตามศัตรูและเราต้องไม่ทำอะไรเลย จุดประสงค์ของพวกแม่เฒ่าคือเจรจากับหลินอิ่งเพื่อพาลูกชายคนนี้กลับบ้าน”

“หากมองไปในอนาคต ถ้าวันนี้พวกแกทั้งหลายลงมือช่วยคุณชายเก้า วันข้างหน้า แกไม่ต้องกลัวว่าวันหลังหลินอิ่งจะกลับมาตระกูลหลินหลังฤดูใบไม้ร่วงเพื่อคิดบัญชี…”

ขณะพูด ดวงตาของผู้อาวุโสฉินเหลือบมองทุกคนซึ่งเติมเต็มไปด้วยแสงแห่งปัญญา

เมื่อมองไปยังเด็ก ๆ ตระกูลหลิน ทุกคนต่างตระหนักได้ในทันใด ทำให้สีหน้าทุกคนนั้นแสดงออกถึงความหวาดกลัว

ใช่แล้ว ผู้อาวุโสฉินได้พูดเจตจำนงอันลึกซึ้งจบในประโยคเดียว

ทุกคนจึงไม่มีใครพูดต่อ

ในอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างหลินชิงเย่กับกู่ชางไห่ถึงขั้นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

หลินชิงเย่เส้นเลือดขึ้นหน้า กู่ชางไห่ทำให้เธอหมดความอดทนและหัวร้อนจนปะทุออกมา

“ไอผู้เฒ่าตายแกรนหาที่ตาย!”

ทันใดนั้น หลินชิงเย่ตะโกนเสียงออกมาดังลั่น เมื่อไล่ลาถึงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เธอได้สะบัดแขนเสื้อขึ้น ใบไม้ก็สะบัดออก

เขาเอื้อมมือออกไปอย่างว่องไวดั่งสายฟ้า ขว้างใบไม้ออกไปหลายสิบใบ เหมือนกับอาวุธที่เงียบและคมกริบบินผ่าตัดอากาศเพื่อสังหาร

พลังนี้ แสดงว่าสามารถเข้าจิตวิญญาณของพลังปราณพิฆาต บังคับใบไม่ได้ดังใจ สามารถฆ่าคนได้ภายในหนึ่งร้อยก้าว!

กู่ชางไห่พลิกตัวกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว

ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!

ใบแล้วใบเหล่าที่ไล่ลา เหมือนมีดบินกรีดที่อยู่บนพื้นคอนกรีตเสียงคมชัด พื้นดินถึงขั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ช่างเป็นพลังนั้นน่ากลัวยิ่งนัก

กู่ชางไห่หลับหลีกใบไม้ที่จะคร่าชีวิตอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่รอด ใบไม้สองสามใบได้ฉีกเสื้อขาดเป็นแนวยาวพร้อมรอยบาดแผลรอยฉีกลึกบนผิวหนังของเขา

เลือดค่อยๆหยอดลงจากกลางอากาศสู่พื้นดิน

ร่างกู่ชางไห่ได้หยุดอยู่กับที่ ด้วยใบหน้าที่ดูสง่างาม

“ฮิฮิ ของเล่นเก่า ๆ พันนั้น ครั้งหน้าคงไม่เอามาเล่นใช่ไหม? ฉันอยากรู้ว่าเธอจะเดินไปทางไหนต่อ?” หลินชิงเย่ยิ้มอย่างมีชัย ดวงตาของเธอร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นด้วยโทสะ

เขาใช้โอกาสนี้ ยกมือขึ้นตบฝ่ามือจนเกิดคลื่นเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ลมกระโชกแรง กำลังจะตบกู่ชางไห่ให้ตาย

ในช่วงเวลาวิกฤติ กู่ชางไห่ไม่ทันได้มีเวลาตั้งตัวหลบเลี่ยงในครั้งนี้

แสงสว่างที่แหลมคมแวบวาบในดวงตาเก่าของเขา

บูม!

ทันใดนั้น พลังของคุณกู่มีเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม ลมพัดแรงรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาถูกฝ่ามือหลินชิงเย่

ด้วยฝ่ามือนี้ เกิดลมก็พัดเสียงดังลั่นและฟ้าร้องดังกึกกล้อง

เกิดคลื่นลม ณ จุดนั้น พื้นดินแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ พื้นที่บริเวณนั้นปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันที่หนาทึบ

“เอ่อ!”

หลินชิงเย่กรีดร้องด้วยความสยดสยอง เหมือนดั่งคนที่คล้ายลูกบอลที่เหี่ยวแฟบ ถูกตีไกลออกไปหลายสิบเมตร ล้มทับผนังปูนโรงพยาบาลอย่างหนัก ทำให้กำลังทับร่างลงไปกับพื้น

ทั้งหน้าของกู่ชางไห่ถึงแดงขึ้น หายใจถี่ขึ้น ดูเหมือนใช้พลังไปทั้งหมดแล้ว

“เป็นไปได้ยังไง! เธอมีพลังพลังระเบิดออกภายในออกมาได้อย่างไร…ไอ…ไอ…”

หลินชิงเย่มองไปที่กู่ชางไห่ด้วยความโกรธ เขาพูดกับตัวเองด้วยท่าทางตกใจ เมื่อกำลังจะพูด ก็ได้ไออย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ณ ขณะนี้มีรอยฝ่ามือบนหน้าอกของเขา พลังภายในลึกลับหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย และทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล พลังในร่างวิ่งวุ่นไปทั่ว เหมือนวงจรไฟฟ้าที่ถูกตัดขาด ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย

หลินชิงเย่เข้าใจชัดเจน เข้าถูกกู่ชางไห่จับตัวและได้รับความเสียหายมากมาย เขาเกือบถูกกำจัดภายในครั้งเดียว

มันคือความจริงที่มิอาจยอมรับได้

เขาแพ้แล้ว!

“หลินชิงเย่ เธอแพ้ คุกเข่าซะ!”

“ไม่! ไม่! ฉันยังไม่แพ้ ฉันจะแพ้ได้ยังไง!”

หลินชิงเย่คร่ำครวญอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เต็มใจยอมรับความจริงนี้

เขาไม่ยอมคุกเข่าก้มหัวให้กับหลินอิ่ง!

“ฮึ!”

กู่ชางไห่ถอนหายใจอย่างเย็นชา เพ่งมองไปด้วยสายตาอาฆาตและให้เจ็บปวดเหมือนซ้ำเติมคนที่ผ่านความลำบากยากเข็ญ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ของหลินชิงเย่

“แก! แกกล้าทำเช่นนี้หรือ!”

หลินชิงเย่สีหน้ากระวนกระวาย และดุดันความสยองขวัญ

“ลืมมันไปซะ” หลินอิ่งพูดเบา ๆ ว่า “ไว้ชีวิตเขาเถอะ”

“คนแบบนี้ไม่ได้มีภัยกับเรา เก็บเขาไว้ก็ไม่เสียหาย”

เมื่อได้ยินคำสั่งของหลินอิ่ง ต่อหน้าหลินชิงเย่แล้ว กู่ชางไห่ยกมือขึ้น มองไปที่หลินชิงเย่ด้วยความรังเกียจ ได้รับเคล็ดลับแล้ว

ใบหน้าของหลินชิงเย่แดงก่ำเมื่อได้ยินคำเหยียดหยามหลินอิ่ง และรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่แห้งในลำคอของเขา

“หลินอิ่ง แก แกทำให้ฉันทนไม่ไว้แล้ว! แกมันดูถูกมากเกินไปแล้ว อ๊ะๆๆๆ! ฉันยอมไม่ได้!”

หลินชิงเย่บันดาลโทสะอย่างบ้าคลั่ง

ผูดด! เลือดพุ่งกระฉูดเต็มปาก

กู่ชางไห่ไม่บ้วนเลือดออกมา แต่ด้วยคำพูดของหลินอิ่ง ทำให้เขาอาเจียนเลือดพุ่งทันที

ณ ตอนนี้หลินชิงเย่ไม่เพียงแต่แพ้เท่านั้น แม้กระทั่งอารมณ์ของบูโดการต่อสู้ก็พังทลาย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท