ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 682 ปรับธุรกิจใหม่

บทที่ 682 ปรับธุรกิจใหม่

เมื่อเห็นภาพหลินชิงเย่คุกเข่าโขกศีรษะให้หลินอิ่งอย่างเด็ดเดี่ยว

ผู้อาวุโสฉินหน้าถอดสีเล็กน้อย สายตาแฝงไปด้วยความซับซ้อน มีทั้งการชมเชยและตกตะลึง

ที่ชมเชยคือหลินชิงเย่ปล่อยวาง ยอมคุกเข่าโขกศีรษะให้หลินอิ่ง ทำอย่างชาญฉลาด

ส่วนที่ตกตะลึงคือ หลินอิ่งเป็นคุณชายตระกูลหลินที่เร่ร่อนอยู่ด้านนอก แต่ทำให้หลินชิงเย่ บุคคลผู้โดดเด่นของตระกูลหลิน ก้มหัวให้อย่างเชื่อฟัง

อุบายนี้น่าตกใจจริงๆ

“หลินอิ่ง วันนี้ผมด้อยกว่าคุณ ผมยอมรับความพ่ายแพ้ และคุกเข่าให้ด้วยความเต็มใจ!”หลินชิงเย่คุกเข่าลงกับพื้นเก็บสีหน้าพลางพูด อย่างกับละความละอายไปแล้ว

“ก่อนหน้านี้ ผมเก็บกวาดกิจการของคุณที่ตี้จิง จับลูกน้องของคุณ พวกนี้ล้วนเป็นความผิดของผม เป็นการอวดดี ผมไม่ได้แตะต้องคนของคุณแม้แต่น้อย วันข้างหน้าผมก็จะไม่ทำสงครามกับคุณ”

“แต่ว่าหลังจากผมผ่านการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ผมจะมาท้าสู้กับคุณสักครั้งแน่นอน!”

หลินชิงเย่พูดเสียงหนักแน่น เหมือนได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ไปแล้ว

หลินอิ่งยิ้มบางๆ แล้วพูด:”เห็นว่าคุณยังเด็กและโง่เขลา ผมจะไม่อะไรกับความผิดของคุณ การคุกเข่าครั้งนี้ถือว่าเป็นการรับโทษของคุณ”

“เพียงแต่ว่าหากคุณอยากท้าสู้กับผม ฝึกหนักไปอีกสักร้อยปีเถอะ”

ได้ยินเช่นนั้น หลินชิงเย่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พลางไตร่ตรองอะไรบางอย่าง

คำพูดของหลินอิ่งนั้นสูงส่ง ราวกับผู้ที่อาวุโสกว่ากำลังชี้แนะรุ่นน้อง

ทว่าในใจของหลินชิงเย่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอับอายเลย

เพราะจิตใจเขาเปลี่ยนไปแล้ว

ภายในใจเขา หลินอิ่งไม่ใช่คนไม่สำคัญที่เขาจะดูถูกได้อีกต่อไป แต่เป็นคนที่จิตวิญญาณสูง ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง

ได้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง หลินชิงเย่เลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง

“ทักษะบูโดของผมสู้คุณไม่ได้ แต่ชีวิตนี้หากไม่ได้ท้าสู้กับคุณสักครั้ง ผมคงแพ้อย่างไม่ยินดี!”หลินชิงเย่พูดอย่างหนักแน่น”รอผมฝึกฝนอย่างหนักก่อน แล้วค่อยมาขอคำชี้แนะ!”

“ผมรู้ดีว่ายอดฝีมือไม่ประลองกับใครง่ายๆ ”

“ถ้าผมแพ้ให้คุณอีก ผมจะเป็นข้ารับใช้ให้ด้วยความเต็มใจ เรียกใช้ได้เลย!”

หลินชิงเย่พูดอย่างเด็ดเดี่ยว มีสีของความมุ่งมั่นในดวงตา

หลินอิ่งมองหลินชิงเย่ ไม่พูดอะไร

หลินชิงเย่ถือได้ว่าเป็นคนที่ลุ่มหลงในการต่อสู้

คนประเภทนี้เชิดชูบูโด และเลื่อมใสผู้แข็งแกร่งของบูโดสุดๆ

“ผู้อาวุโสฉิน ผมจะไปฝึกและหาประสบการณ์อย่างหนักที่โลกธรรม ไม่กลับตระกูลหลินชั่วคราว เมื่อกลับตระกูลหลินขอให้คุณอธิบายให้ด้วย”

หลินชิงเย่พูดอย่างจริงจัง

จากนั้นเขาก็โค้งคำนับให้หลินอิ่งอีกครั้ง เหมือนเป็นการขอบคุณที่หลินอิ่งทำให้เขาเข้าใจอะไรบางอย่าง

จากนั้นหลินชิงเย่ก็เหาะออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เหลียวหลงกับ

ผู้อาวุโสฉินสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเอง:”คุณชายเก้า ละอายใจต่อความผิด แล้วกล้าที่จะแก้ไข อนาคตไกลแน่ๆ ”

ขณะพูดผู้อาวุโสฉินก็หันไปมองหลินอิ่ง พลางพูดอย่างปลงๆ :”คุณชายหลินอิ่ง ลูกไม้ของคุณในวันนี้ สุดยอดจริงๆ ”

“พูดแค่ไม่กี่คำก็ทำให้คนกลับเนื้อกลับตัวได้ ขนาดคนดื้อรั้นอย่างคุณชายเก้า คุณก็ทำเอาเชื่อฟังเลย ผมนับถือจริงๆ ”

สิ่งที่เขาพูดไม่ได้เสแสร้ง

วันนี้หลินอิ่งแสดงความสามารถออกมาแล้ว เป็นที่น่าตกใจเลยทีเดียว แต่ก็ยังเป็นแค่ส่วนที่เห็นเล็กเท่านั้น สิ่งที่แฝงอยู่ด้านในของคนคนนี้ช่างคาดเดาไม่ได้จริงๆ

“คุณชายหลินอิ่ง วันนี้คุณชายเก้าชิงเย่คุกเข่าโขกศีรษะให้คุณ และขอโทษคุณ พวกเรามาคุยกันเรื่องกลับตระกูลหลินได้ไหม?”ผู้อาวุโสฉินพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ผมจะไปตระกูลหลินสักครั้ง”หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย”เรื่องนี้ไม่รีบ”

ในใจหลินอิ่งก็เคยพิจารณาเกี่ยวกับตระกูลหลินแห่งลังยา

ที่นั่นเป็นตระกูลที่แม่เกิดมา ว่ากันว่าตาและยายยังอยู่ เขาควรไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย

แต่อย่างน้อยต้องจัดการงานตอนนี้ให้ชัดเจน

ต้องปรับปรุงกิจการในตี้จิงใหม่ก่อน

ตอนนี้อำนาจที่สามารถใช้ได้ของหลินอิ่งในแวดวงลึกลับนั้นน้อยมาก

ยังอยู่ในช่วงของการกลับมาอีกครั้ง

ตระกูลหลินแห่งลังยาต้องการพบเขา ก็แค่ต้องการใช้เขาเป็นหมากสำคัญตัวหนึ่งก็เท่านั้น

ทว่าทำไมหลินอิ่งไม่เอาตระกูลหลินแห่งลังยามาเป็นหมากซะเองล่ะ?

นอกจากฝีมือบูโดของแต่ละคน การใช้ประโยชน์และการวางหมากก็เป็นลูกไม้สำคัญ

“ฮ่าๆ ๆ !คุณชายหลินอิ่งยอมกลับตระกูลหลิน เป็นความโชคดีของแม่เฒ่าจริงๆ มีหลานแบบนี้ คนแก่อย่างเธอต้องดีใจมากแน่ๆ “ผู้อาวุโสฉินหัวเราะร่า

“คุณชายหลินอิ่ง เรื่องนี้ไม่รีบจริงๆ ”

“ผมขอพูดอะไรหน่อย คุณจัดการคุณชายเก้าชิงเย่ซะอยู่หมัด แต่คุณชายเก้ามีนิสัยบุ่มบ่าม อ่อนต่อโลก โดนคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือก็เท่านั้น”

“ตระกูลหลินมีเสียงต่อต้านคุณอยู่มาก”

ผู้อาวุโสฉินพูดสิ่งที่ชวนให้ขบคิดออกมา

หลินอิ่งยิ้มๆ สถานการณ์แบบนี้เป็นไปอย่างที่เขาคาดเดาไว้

“คุณชายหลินอิ่ง ในตี้จิง ปู่เจ็ดของตระกูลหลิน หลินสวนถูเป็นคนนั่งบัญชาการ”ผู้อาวุโสฉินค่อยๆ พูด”เขาควบคุมกิจการของคุณอย่างแน่นหนา และยังคิดว่าจะรับเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงของตี้จิง ให้ได้อย่างราบรื่นได้ยังไง”

“ผมสกัดกั้นคุณชายเก้าชิงเย่แทนคุณได้ แต่หลินสวนถูไม่ยอมฟังคำห้ามปรามของผม”

ผู้อาวุโสฉินมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าจริงจังพลางพูด

“เหอะ”หลินอิ่งยิ้มเยาะ”นี่ก็เป็นบททดสอบที่แม่เฒ่าให้ผมงั้นเหรอ?”

“ฮ่าๆ ๆ !”ผู้อาวุโสฉินหัวเราะเล็กน้อย แล้วพูดอย่างชื่นชม”คุณชายหลินอิ่งฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ พูดตรงประเด็นเลย”

“ในตระกูลหลินมีคนต่อต้านคุณ แน่นอนว่าแม่เฒ่ารับรู้ ถือว่าเห็นด้วยไปโดยปริยายและนี่ก็เป็นบททดสอบต่อคุณชายหลินอิ่งด้วยเช่นกัน”

“เพราะยังไงตระกูลหลินแห่งลังยา ก็ไม่ต้องการลูกหลานที่ติดหรูอยู่สบาย”

ผู้อาวุโสฉินเผยข้อมูลออกมาสุดๆ ราวเป็นการประจบหลินอิ่ง

เมื่อเห็นว่าฉินเหิงเยว่แสดงความดีออกมาเอง หลินอิ่งจึงยิ้มบางๆ

ฉินเหิงเยว่แสดงจุดยืนชัดเจน ว่าจะละทิ้งความสัมพันธ์ส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากตระกูลหลิน หลินอิ่งรู้ดี

สถานการณ์ภายในของตระกูลหลิน ดูท่าแล้วซับซ้อนจริงๆ

คนที่ชื่อหลินสวนถูอะไรนั่นนั่งสั่งการเองในตี้จิง ถึงขนาดผู้อาวุโสฉินยังหวาดกลัวเขา

นั่นเห็นได้ชัดว่าอำนาจของคนผู้นี้ไม่ได้ด้อยกว่าผู้อาวุโสฉิน ทั้งสองไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน

ความหมายแฝงของผู้อาวุโสฉิน ได้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

ภายในของตระกูลหลินมีกลุ่มคนอื่นๆ กำลังพุ่งเป้ามาที่ตน และหลินสวนถูคนนั้นก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของคนกลุ่มนั้น

“เรื่องนี้ผมจัดการได้”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยชา

ในน้ำเสียงของเขามีความมั่นใจอันแรงกล้า

“ในเมื่อคุณชายหลินอิ่งมีความมั่นใจเช่นนี้ ผมก็ไม่ขอพูดอะไรมากความ ขอให้คุณชายหลินอิ่งราบรื่น พอกลับตระกูลหลิน ผมจะจัดงานต้อนรับคุณชาย”ผู้อาวุโสฉินพูดอย่างสุภาพสุดๆ

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรต่อ

แล้วผู้อาวุโสฉินก็โบกมือ นำกลุ่มชายในชุดราชวงศ์ถังขึ้นรถตู้สีดำคันหนึ่ง แล้วออกจากโรงพยาบาลประจำอำเภอไปอย่างรวดเร็ว

“หมดเรื่องแล้วใช่ไหมคะ?หลินอิ่ง?”จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่มีอะไรแล้ว”หลินอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม”ฉีโม่ อีกสองสามวันผมต้องกลับตี้จิง ครั้งนี้คุณอยู่ข้างๆ ผมด้วยนะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท