ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 694 พายุโหมในความเงียบ

บทที่ 694 พายุโหมในความเงียบ

ทันใดนั้นสายตาหลินสวนถูก็เย็นยะเยือก จ้องหลินอิ่งไม่ลดละ

คำพูดโอหังของหลินอิ่งทำให้เขาเดือดพล่าน

ในสายตาของเขา หลินอิ่งเป็นแค่ลูกหลานที่ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ครั้งก่อนทำลายบูโดของอาวุโสตระกูลหลินไปสองคนแบบไม่รู้จักที่ควรที่ชอบ ครั้งนี้ต่อหน้าปู่เจ็ดอย่างเขา ยังจะกล้าพูดว่าจะทำลายบูโดเขาอีกเหรอ?

“หลินอิ่ง แกรู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่?” หลินสวนถูพูดเสียงเย็น “แกคิดว่าฉันทำอะไรแกไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

ขณะพูด หลินสวนถูก็แผ่ซ่านกลิ่นอายความดุดันออกมาจากตัวจนเสื้อผ้าปลัดปลิวทั้งที่ลมสงบ

เขาเกิดโทสะแล้วจริงๆ

แต่เพราะพวกคุณชายโหมทั้งสามยังอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่กล้าลงมืออย่างไม่มั่นใจว่าจะชนะ

อันที่จริงหลินอิ่งก็มีกลิ่นอายมหาศาลล้ำลึกยากจะคาดเดา จนทำให้เขาไม่อาจประเมินความสามารถของเขาได้

คราวนี้ก็เป็นดั่งขี่หลังเสือ

“ผมต้องรู้อยู่แล้วว่ากำลังพูดอะไรอยู่” หลินอิ่งพูดเรียบๆ “คุณคิดว่าชื่อเสียงตระกูลหลินแห่งลังยาจะข่มผมได้เหรอ?”

“เรื่องของตระกูลหลิน ผมจะไปเขาลังยาอธิบายเอง ไม่ต้องให้คุณมาทำท่าทำทางที่นี่หรอกครับ” หลินอิ่งพูดแบบง่ายๆ

“อีกอย่าง คุณหลินสวนถู คุณน่าจะรู้สึกโชคดีนะ ที่คุณเป็นคนตระกูลหลินที่เกี่ยวข้องกับผมนิดหน่อย ไม่งั้นแค่การกระทำของคุณตรงนี้ คุณก็ต้องตายแบบไม่เหลือซากแล้ว”

ขณะที่หลินอิ่งกำลังกล่าวไปแบบเรียบง่าย ก็เผยจิตสังหารที่น่าขวัญผวาออกมา

แม้หลินสวนถูจะเลือดขึ้นหน้า แต่กลับไม่กล้าทำอะไร

จากสถานการณ์ เขาถูกหลินอิ่งข่มทับแน่นิ่งแล้ว

ทุกคนที่เห็นภาพนี้ล้วนรู้สึกตกตะลึง

เดิมคิดว่าความแข็งกร้าวของหลินสวนถู จะทำให้คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงต้องจบเห่ สิ้นชื่อสิ้นลายเสือ

แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตร

เมื่อหลินอิ่งกลับคืนสู่ตี้จิงและเผชิญหน้ากับหลินสวนถู

ก็ถึงกับบีบจนหลินสวนถูไม่กล้าทำอะไรและอยู่เฉยได้

ใครก็รู้ว่าก่อนที่หลินอิ่งจะกลับมา หลินสวนถูวางอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน ไม่เพียงแต่กวาดกิจการมากมายของหลินอิ่งในตี้จิงจนเรียบ ทั้งยังจับกุมลูกน้องของเขาไว้อีก

แล้วยังป่าวประกาศกับแวดวงตี้จิงว่าการประชุมวันนี้ อาคารเทียนหลงจะตัดสินใจโอนถ่ายการงานของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง

การวางอำนาจบาตรใหญ่นี้ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน

แต่…เมื่อหลินอิ่งกลับมา หลินสวนถูกก็หัวหดราวกับสุนัขกลัวประทัด

ความแต่งต่างนี้ทำให้คนที่เห็นต้องหน้าทึ่งตาค้าง

“ประธานหลิน คุณกลับมาได้เสียที…”

“ท่านอิ่ง…”

ทันใดนั้น ณ ปากทางเข้าอาคารเทียนหลง นิ่งซวนกับหยูจื๋อเฉิงก็นำบอดี้การ์ดชุดสูทเดินออกมาต้อนรับการกลับมาของหลินอิ่ง

พวกนิ่งซวนมองมาทางหลินอิ่ง ความตื่นเต้นแสดงออกมาจากสีหน้า

และใกล้ๆ กับพวกนิ่งซวนยังมีคนหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนหน้าตาเคร่งขรึมอยู่อีกกลุ่ม สายตาของทุกคนล้วนจริงจัง ร้อนรนหงุดหงิด ดวงตามองทางหลินสวนถูราวกับกำลังรอคำสั่ง

คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือของตระกูลหลินที่หลินสวนถูนำลงเขามาด้วย เดิมกำลังเฝ้าพวกนิ่งซวนอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้าทำโดยพลการ

เพราะพวกเขาต่างมองออก ว่าแม้แต่หลินสวนถูที่เป็นผู้นำของพวกเขายังถูกข่ม ไม่กล้าทำตามอำเภอใจ

หลินอิ่งเหล่ตามอง และรู้สึกได้ถึงรายละเอียดเล็กน้อยจากสภาพการณ์นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงยิ้มบางกล่าว “ผมกลับมาแล้ว”

เพียงคำพูดเรียบๆ ง่ายๆ คำเดียว กลับราวกับคำขวัญที่ทำให้จิตใจคนฮึกเหิม

“ยินดีต้อนรับคุณชายอิ่งกลับตี้จิงครับ!”

“ยินดีต้อนรับประธานอิ่งกลับตี้จิงครับ!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงครึกครื้นดังขึ้นเป็นระลอก ทุกคนที่ร้องขานล้วนมีใจเหิมไม่หวาดหวั่นอยู่เต็มใบหน้า ราวกับทหารคลั่งที่รอขุนพลกลับมา

เมื่อได้ยินเสียงล้นหลามนี้แล้ว ใบหน้าหลินสวนถูก็ขมึงตึง ย่ำแย่ไปเลยทีเดียว

เขากำหมัดแน่น ความคิดในหัวผุดขึ้นมาไม่หยุด

หลินสวนถูกำลังเครียด กำลังลังเลว่าจะดาหน้าจับกุมหลินอิ่งไปทั้งอย่างนี้ดีหรือไม่

เขาทั้งโมโห ทั้งหวาดกลัว

ไม่มั่นใจ

ทั้งๆ ที่เป็นแผนที่เขาวางเอาไว้ แถมยังประกาศทั่วตี้จิงแล้ว ว่าจะเปิดศึกกับหลินอิ่งวันนี้ หากหลินอิ่งกล้ากลับมาเขาก็จะเปิดศึกแสดงบารมี

และสุดท้ายหลินอิ่งก็กลับมา แถมยังมาพร้อมกับท่าทางพระเจ้าโปรดสัตว์

นี่ทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่าม ทั้งยังรู้สึกเหมือนกับมีหินกระแทกจุกอก

คำพูดก่อนหน้านี้โอเวอร์เกินไป ตอนนี้จะเอาคืนก็ไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เสียหน้าตัวเอง

“คุณหลินสวนถู คุณตามหาผมมาตลอด คิดจะเอาเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง จับผมกลับตระกูลหลินเหรอครับ?” หลินอิ่งพูดเรียบ “วันนี้คุณวางมาดใหญ่โตในอาคารเทียนหลง พอดีเลย ผมจะให้ตามที่คุณหวัง มาสิ ผมจะเจรจากับคุณเอง”

ว่าแล้วหลินอิ่งก็จูงมือจางฉีโม่ เดินเข้าอาคารเทียนหลงช้าๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนและการมุงล้อม

ท่าทางของหลินอิ่งปล่อยตัวตามสบายราวกับกลับบ้าน

แต่เป็นหลินสวนถูเสียอีก ที่สีหน้าดูไม่ได้ หน้ามุ่ยบ่นพึมพำอยู่กับที่อยู่นาน

“ได้! ฉันจะดูซิว่าแกจะอธิบายยังไง!”

หลินสวนถูทำเป็นพูดออกไป ส่งสายตาเย็นชาเป็นนัย แล้วนำกลุ่มคนหนุ่มในชุดคอจีนเข้าอาคารเทียนหลง

เมื่อคนที่อยู่ล้อมรอบเห็นภาพนี้แล้ว ความระทึกใจก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

การแสดงออกของหลินอิ่งในวันนี้ ทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องที่เล่าขานในต่างประเทศ

ที่ว่ามีขุนพลไร้เทียมทานอยู่คนหนึ่ง หลังจากพ่ายแพ้แล้วเขาถูกศัตรูขับไล่ไปเกาะร้าง ส่วนกองทัพของเขาก็ถูกศัตรูจับกุมไว้

แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขุนพลท่านนั้นกลับมาจากเกาะร้างเพียงลำพัง กล่าวเพียงประโยคเดียวว่า ‘ฉันกลับมาแล้ว’ เหล่าทหารต่างชูปืนต้องรับการกลับมาของเขา

เขานำกองทัพและประเทศของเขากลับมาด้วยตัวคนเดียว

นี่เป็นเรื่องเล่าที่แปลกประหลาดและน่าสนุก ทว่าบัดนี้…กลับเกิดขึ้นกับหลินอิ่ง

คุณชายอิ่งราวกับกลับบ้านไม่ทำอะไรเลย พูดเรียบไม่กี่ประโยคก็บีบจนหลินสวนถูที่โอหังต้องก้มศีรษะทะนงลงได้

ท่าทางเช่นนี้มีเพียงคนที่สนิทชิดเชื้อกับอาคารเทียนหลงเท่านั้นถึงสัมผัสได้

จากนั้นหลินสวนถูก็ทำหน้าขึงขังพาคนเข้าอาคารเทียนหลงไป

บรรดาตัวแทนตระกูลใหญ่มั่งคั่งที่ถูกเชิญมาก็ค่อยๆ เดินเข้าห้องประชุมด้วย

หลินอิ่งยังกุมสิทธิ์ในการรุก

แผนการที่หลินสวนถูสู้ทำมา แผนที่จะประกาศศักดากับหลินอิ่งนั้น กลับกลายเป็นฉากการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของหลินอิ่งแทนเสียอย่างนั้น

พายุกระหน่ำท่ามกลางความเงียบนี้ แก้วิกฤติตี้จิงได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะความสามารถของหลินอิ่งที่สะเทือนเลือนลั่น

ความสามารถของเขา ทำให้คนมีฝีมืออย่างฉู่หยุนซานทั้งสามมาช่วยเหลือ

เพียงแค่พวกเขาทั้งสามก็ทำให้หลินสวนถูขี้ขลาด ไม่กล้าต่อสู้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากหลินอิ่งออกโรงเอง จะทำให้หลินสวนถูขวัญหนีดีฝ่อขนาดไหน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท