ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 706 เกิดเรื่องในงานเลี้ยง

บทที่ 706 เกิดเรื่องในงานเลี้ยง

ความดุในสายตาของหลินเซี่ยวแวบออกมาแบบที่สังเกตเห็นได้ยาก จากนั้นก็กลับมามีรอยยิ้มเป็นมิตรอีกครั้ง “เป็นไปได้ยังไง น้องหลินอิ่งสู้ดั้นด้นมาจากตี้จิง จะไม่สั่งอาหารดีๆ มาให้ได้ยังไง?”

ขณะที่พูด หลินเซี่ยวก็รับเก้าอี้ตัวหนึ่งจากมือผู้ติดตาม แล้วจัดวางให้เป็นระเบียบ

หลินอิ่งไม่มากความ ควบนั่งลงทันที

หลินเซี่ยวนั่งตรงตำแหน่งประธานอย่างเป็นธรรมชาติ กล่าว “น้องหลินอิ่ง ฉันจะแนะนำให้นะ”

“ท่านนี้คือคุณหลี่ว่านหยวน หัวหน้าสมาคมหลี่ของสมาคมธุรกิจใหญ่ชางโจว เป็นไฉ่ซิ้งเอี๊ยเลื่องชื่อของชางโจวเลยละ อีกหน่อยถ้าน้องหลินอยากลงทุนในชางโจวก็เข้าหาหัวหน้าสมาคมหลี่เลย ได้ผลแน่นอน!”

หลินเซี่ยวชี้ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนนั้น

หลี่ว่านหยวน หัวหน้าสมาคมธุรกิจใหญ่ชางโจว เป็นที่ยอมรับว่าเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งชางโจว อิทธิพลล้นฟ้า และเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในวงการค้าประเทศหลุงด้วย

เรื่องโด่งดังของคนผู้นี้ ก็คือเรื่องที่จี้ฉงซานเศรษฐีอันดับหนึ่งเมืองก่างอยากลงทุนที่ชางโจว แต่กลับถูกเขาทำจนหน้าห้อยคอตก ถอนการลงทุนแบบขาดทุนยับเยิน แถมยังไม่กล้าบ่นสักคำ

ชางโจวกีดกันคนนอกมาก การป้องกันของทุกวงการก็เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่โตมาจากไหน เมื่อมาชางโจวแล้วต่างต้องลดตัวลงไปกว่าครึ่ง

“สวัสดีครับ คุณชายสาม ผมหลี่ว่านหยวน เป็นหัวหน้าสมาคมกิตติมศักดิ์ของการประชุมธุรกิจชางโจว” หัวหน้าสมาคมหลี่ยิ้มตาหยีมองหลินอิ่ง “แต่เอ๊ะ! เห็นว่าคุณชายสามก็เป็นหัวหน้าสมาคมธุรกิจที่ตี้จิงด้วยเหมือนกัน เรียกว่าหัวหน้าสมาคมหลินน่าจะเหมาะสมกว่า”

“นั่นสิ! หัวหน้าสมาคมหลี่ ธุรกิจของน้องหลินอิ่งในตี้จิงใหญ่โตมากเลยนะ ที่เมืองก่างก็เป็นบุคคลสำคัญด้วย” หลินเซี่ยวพูดเป็นอย่างๆ “ต่างก็เป็นขาใหญ่วงการธุรกิจประเทศหลุงทั้งคู่ อีกหน่อยต้องมีโอกาสได้ร่วมงานกันแน่”

“เหรอ? คุณชายหลินอิ่งมีธุรกิจใหญ่โตขนาดนั้นเชียว? ผมได้ยินคนข้างนอกพูดเรื่องแปลกๆ กัน แต่ทำไมไม่ยักได้ยินเรื่องนี้?”

ชายกลางคนผมสั้นมองหลินอิ่งด้วยความสัพยอกเล็กน้อย

“เหลาอู่ คุณนี่เป็นกบในกะลาแล้ว น้องหลินนั่งผงาดในตี้จิงเชียวนะ เป็นคนสำคัญที่นั่น ตอนนั้นจี้ฉงซานเมืองก่างก็ไม่ใช่ทำตัวใหญ่โตหรือยังไง ดูสิ ถูกน้องหลินอิ่งของผมบีบจนตายเลย”

“เหรอ? ก็คือคุณชายอิ่งคนนั้นน่ะเหรอ? เคยได้ยินมานิดหน่อย แต่จะมีประโยชน์อะไร? ในชางโจวจะเป็นมังกรหรือมังกือ อยู่ข้างนอกใหญ่โตแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องทำตามระเบียบของผมทั้งนั้น” เหลาอู่คาบซิการ์ พูดอวดเบ่งบารมี

“เหอๆ น้องหลินอิ่ง นี่คือคุณอู่จี๋ เหลาอู่ ในแถบชางโจว ไม่ว่าจะศาสตร์แขนงไหน มีเรื่องอะไรก็หาเขา เขาจัดการได้หมดทุกเรื่อง!” หลินเซี่ยวหัวเราะพลางพูด

“เธอมาชางโจวครั้งแรก ฉันจะแนะนำเพื่อนสนิทให้แล้วกัน จะได้ไม่ทำผิดกฎ ทำร้ายถูกคนกันเอง”

สีหน้าหลินอิ่งเรียบเฉย มองพวกหลินเซี่ยวที่พูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

หลินเซี่ยวกำลังเตือนและโอ้อวดอิทธิพลของเขา

หลินอิ่งรู้แก่ใจดี ว่าชางโจวถูกตระกูลหลินควบคุมจนแน่นหนาราวกับเหล็ก เข็มแทรกไม่เข้า น้ำซึมไม่ถึง

ไม่ว่าภายนอกจะมีเงินมีอิทธิพลอย่างไร เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องทำตามกฎตระกูลหลินทั้งนั้น

จากท่าทีของหลี่ว่านหยวนและคนแซ่อู่ที่มีต่อเขาแล้วก็เห็นได้ชัด

เมื่อถึงระดับหนึ่ง หากกำลังทรัพย์ไม่มากพอก็ซื้อชื่อเสียงไม่ได้

หลินเซี่ยวกำลังบอกเขา ว่าเขาไม่มีผลใดๆ กับชางโจวทั้งนั้น รากฐานที่ตี้จิงและอิทธิพลที่เมืองก่างล้วนไม่อยู่ในสายตา

หากไม่มีฐานะผู้สืบทอดตระกูล แม้แต่คนปุถุชนอย่างหลี่ว่านหยวนและเหลาอู่ก็คงไม่ไว้หน้าเขาแน่

“คือว่านะ คุณชายสาม ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นรู้จักเก่ากับคุณ เหมือนว่ามีธุระบางเรื่อง วันนี้ผมก็เลยพามาด้วย ให้เขาพูดกับคุณเองแล้วกัน?” จู่ๆ หลี่ว่านหยวนก็เปิดปากพูด

“คนรู้จัก?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่มีคนรู้จักที่ชางโจวนี่

เพียะๆ

หลินอิ่งยังไม่ทันพูด หลี่ว่านหยวนก็ตบมือไปสองครั้ง

เมื่อนั้นหญิงท่าทางองอาจ สวมชุดฝึกกังฟูสีขาวก็เดินเข้ามาจากประตูข้าง

ท่วงท่าไม่เหมือนผู้อื่น คิ้วและดวงตาเผยความหาญกล้าออกมา ทว่าดวงตากลับเย็นชา จ้องมาทางหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง? แกยังกล้ามาชางโจวอีกเหรอ?” หญิงผู้นั้นตวาดเสียงดังถาม อารมณ์เดือดพล่าน

“หือ?” จางฉี่โม่มองหญิงคนนั้นที่เดินมา แล้วหันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาสงสัย

“ฉีโม่ ผมไม่รู้จักเธอ” หลินอิ่งพูดเด็ดขาด เกรงว่าจางฉีโม่จะเข้าใจผิด

“แกไม่รู้จักฉัน งั้นแกก็ไม่รู้จักเหอซานจินศิษย์พี่ของฉันด้วยสิ?!” หญิงคนนั้นจ้องหลินอิ่งด้วยความโกรธ “แกมันไอ้ชาติชั่ว! ฆ่าศิษย์พี่ฉันแล้วยังกล้ามาหุบเฉินเฟิงถิ่นของเราอีกเหรอ?!”

ขณะที่เธอพูด ประตูข้างก็มีชายหนุ่มหน้าตาเหี้ยมเกรียมเดิมเข้ามาอีกหลายคน แต่ละคนล้วนมีท่าทางดุดัน ดูไม่เหมือนคนธรรมดา

ทันใดนั้นบรรยากาศทั้งงานก็ตึงเครียด

คนตระกูลหลินต่างมองมา แววตาครุ่นคิด

ส่วนหลินเซี่ยวกลับนั่งผงาดอย่างเขาไท่ซาน สังเกตมองหลินอิ่งด้วยหางตา

“หุบเฉินเฟิง?” หลินอิ่งมองผู้หญิงคนนั้นด้วยความสนใจ เอ่ยเรียบๆ “เหอซานจินเป็นศิษย์พี่ของคุณ? คุณมาเพื่อแก้แค้นให้เขา?”

“ถูกต้อง! ฉันมาเพื่อฆ่าแกไอ้ชาติชั่วนั่นแหละ แกกล้าสู้กับฉันสักยกไหมล่ะ? ตรงนี้นี่แหละ ถ้าแพ้ก็ทิ้งชีวิตแกไว้นี่!” หญิงคนนั้นกล่าวเกรี้ยว

“เฮ้อ เหอซานกู นี่มันอะไรกัน? ไม่เห็นเหรอว่าตระกูลหลินกำลังจัดงานเลี้ยงน่ะ? ช่างไม่รู้จักกฎจัดระเบียบเสียจริง! ยังไม่ออกไปอีก? หลินเซี่ยวทำเป็นลุกขึ้นมาพูดเสียงแข็งกับอีกฝ่าย”

“คุณชายรอง ฉันเคารพคุณนะ และฉันก็หวังว่าคุณจะเคารพฉันกับคุณชายสามคนนี้ด้วย หรือว่า…คุณชายสามหลินอิ่งแห่งตระกูลหลินคนนี้ เป็นผู้ชายเสียเปล่า แต่กลับหลบหลังคุณชายรองเหรอ? ทำแล้วไม่กล้ารับ?” เหอซานกูยิ้มเย็น

“นี่…” หลินเซี่ยวมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ “น้องหลินอิ่ง เธอดูซิว่าจะจัดการยังไงดี?”

“เหอซานกูก็อารมณ์ร้อนเสียเรื่อง เป็นผู้หญิงยิงเรือแต่กลับมาก่อเรื่องถึงนี่ เธอว่าหรือฉันจะไล่ออกไปดีไหม? หรือว่า…น้องหลินอิ่งจะจัดการเอง?” หลินเซี่ยวทำเป็นคิดหนัก มองหลินอิ่งแล้วพูดอีก “เฮ้อ เป็นผู้หญิงเสียอีก ไม่งั้น…วันนี้ฉันก็จัดการเธอ แสดงบารมีสักหน่อยละ กล้ามาก่อเรื่องในงานเลี้ยงตระกูลหลินเสียนี่ จัดการยากจริงๆ”

หลินอิ่งยิ้มๆ ดูหลินเซี่ยวแสดงละคร

“จัดการยาก? งั้นผมว่าคุณก็อย่าจัดการเลย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท