ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 708 อย่าหาว่าฉันฆ่าญาติผดุงธรรม

บทที่ 708 อย่าหาว่าฉันฆ่าญาติผดุงธรรม

“น้องหลินอิ่ง เธอไม่รู้สึกว่าคำพูดเธอเกินไปหน่อยเหรอ? เธอว่าหัวหน้าสมาคมหลี่ว่าเป็นตัวตลก นี่จะหยามหน้าฉันละสิ?” หลินเซี่ยวพูดด้วยความเย็นยะเยือก “แล้วยังหาว่าฉันวางฉากไว้อีก? เธอคิดว่าฉันจะหาเรื่องเธอเหรอ?”

“วันนี้ต่อหน้าคนในตระกูลทุกคน น้องหลินอิ่ง เธอพูดมาให้ชัดๆ เลยนะ! อธิบายให้ชัด ไม่งั้นก็อย่าหาว่าฉันฆ่าญาติผดุงธรรม วันนี้ฉันจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้เหลาหลี่กับพวกเหอซานกู!”

“เธอก็ผ่านอะไรมามาก น่าจะรู้จักเหตุผลนี้ดี ทำผิดก็ต้องยอมรับ!”

“ผมจะถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ทุกอย่างก็สุดแล้วแต่คุณจะตัดสิน” หลินอิ่งพูดเรียบ มองทางหลินเซี่ยว “ไม่ต้องอ้อมค้อมให้มาก ผมก็นั่งอยู่นี่แล้ว คุณคิดจะทำยังไงผมก็จะทำเป็นเพื่อน”

แม้น้ำเสียงหลินอิ่งจะราบเรียบ ทว่าความแข็งกร้าวกลับแสดงออกมาให้เห็นชัด

เวลานี้ เขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีโมเมนตัมที่ไม่อาจขัดขวาง ราวกับมังกรยักษ์ในนิทราที่ลืมตาอยู่ โดยเฉพาะนัยน์ตาล้ำลึกที่เผยความยะเยือกออกมา ชวนให้ขนลุกยิ่งนัก

“หือ?”

หลินเซี่ยวขมวดคิ้ว สำรวจมองหลินอิ่งอีกครั้ง

เขาดูพลังของหลินอิ่งไม่ออก

ภายนอกดูเหมือนเป็นยอดฝีมือรายการดิน

แต่ก็มีกลิ่นอายแห่งความอันตรายอย่างยิ่งยวด ทำให้เขาหวาดหวั่นตามสัญชาตญาณ

“ไอ้ชาติชั่วหลินอิ่ง! แกอย่ามาบ้าตรงนี้นะ! ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลินขวางไว้ พวกเราหุบเฉินเฟิงก็บุกไปฆ่าแกถึงตี้จิงแล้ว!” เหอซานกูจ้องหลินอิ่งด้วยความดุดัน

“เอาแค่ว่าแกกล้ามาสู้กับฉันสักยกไหมล่ะ? ไม่กล้าก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ชายไร้ศักดิ์ศรี!”

หลินอิ่งส่ายหน้า พูดเรียบ “สู้กับผม? คุณคู่ควรด้วยหรือ?”

หากหลินอิ่งไปสู้กับทุกคนที่ดาหน้าเข้ามา เช่นนั้นความน่าเกรงขามของเขาจะอยู่ที่ไหนเสียล่ะ?

คุณชายอิ่งแห่งตี้จิง คุณชายสามแห่งตระกูลหลินที่เพิ่งปรากฏในแวดวงลึกลับ หากทำจนเป็นเรื่องขึ้นมา ไม่ว่าแพ้หรือชนะ แค่การรับกับศึกนี้ ฐานะของเขาก็ลดสู่ระดับล่างแล้ว!

“คุณอยากแก้แค้นให้ศิษย์พี่ ผมก็จะให้โอกาสนี้กับคุณ”

“กู่ชางไห่ ไปสั่งสอนเธอหน่อย”

หลินอิ่งสั่งการไปเรียบๆ

กู่ชางไห่ที่ยืนระแวดระวังอยู่ด้านหลังหลินอิ่งมาตลอด เดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง มองเหอซานกูด้วยความเย็นชา

“อยากสู้กับคุณชายอิ่ง ก็ต้องดูว่าข้ามผมไปได้หรือเปล่า!”

กู่ชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น

ระยะนี้กู่ชางไห่ติดตามหลินอิ่งและได้รับการถ่ายทอดวิชาลับ กำลังบูโดจึงเพิ่มพูน ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน

หากเทียบกับเมื่อก่อน ระดับบูโดของเขาก็ก้าวไปอีกขั้น ด้วยอายุขาลงอย่างเขา นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

และนี่ก็ทำให้กู่ชางไห่เคารพหลินอิ่งมากขึ้น ศรัทธาในตัวเขาราวกับตำนาน

“กับแก?” เหอซานกูสำรวจมองกู่ชางไห่สายตาหนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วอดหันไปมองหลินอิ่งเป็นไม่ได้ ราวกับต้องการคำอธิบาย

ดวงตาหลินเซี่ยวปรากฏความเหี้ยมออกมาแวบหนึ่ง ครั้นแล้วสองมือที่ไพล่หลังก็ดีดนิ้วขึ้นออกไป

ฟิ่ว…

มุกเหล็กอาวุธลับพุ่งออกมาจากแขนเสื้อหลินเซี่ยว ทันใดนั้นก็เกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นสะเทือน ชี่กังไร้รูปทะลุอากาศโจมตี

ความเร็วปานสายฟ้านี้ทำให้ระวังตัวไม่ทัน

แต่ตอนที่กู่ชางไห่รู้สึกตัว มุกเหล็กก็ประชิดตัวแล้ว มันมาพร้อมกับกำลังที่อันน่าสะพรึง กระแทกเข้าท้องเขาอย่างแรง

เป็นเสียงดังปุก

แค่พริบตาเดียว กู่ชางไห่ก็ถูกกระแทกถอยไปหลายก้าว เสียงอดกลั้นดังมาทีหนึ่ง เลือดไหลออกมาจากมุมปากโดยพลัน

“แก แกถึงกับใช้อาวุธลับทำร้ายคน?”

กู่ชางไห่เงยหน้าขึ้นโดยพลัน ทั้งตกใจทั้งโมโหจ้องหลินเซี่ยว

เขาตกใจที่หลินเซี่ยวมีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ ทำร้ายเขากลางอากาศจนอวัยวะแทบแหลกเหลว

และเขาก็โมโห หลินเซี่ยวที่เป็นถึงยอดฝีมือเก่งยิ่งกว่าเขา แต่กลับใช้วิธีการต่ำช้า ฉวยตอนที่เขาไม่ทันระวังใช้อาวุธลับ

“หลีกไป! ถิ่นตระกูลหลินให้แกมาเหิมเกริมได้เหรอ!” หลินเซี่ยววางมาดจ้องกู่ชางไห่เขม็ง ตวาดลั่น

เปียะๆๆๆ

กู่ชางไห่จะพูดอะไรอีก แต่จู่ๆ เนื้อตัวก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น สีหน้าของเขาขาวซีด เอามือกุมท้อง ร่างกายบิดไปบิดมา ถอยหลังอีกหลายก้าว

อาวุธลับภายในร่างแตกกระจาย ทำให้เขาแทบสูญเสียพลังรบ

“น้องหลินอิ่ง ลูกน้องเธอไม่รู้จักกฎระเบียบ ฉันก็เลยสั่งสอนเขาแทนให้ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” หลินเซี่ยวหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม มองหลินอิ่งด้วยท่าทางได้ใจ

“เรื่องวันนี้ง่ายมาก ฉันพูดคำเดียวก็เรียบร้อยแล้ว ถ้าเธอเอ่ยปากให้ฉันที่เป็นพี่ช่วย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” หลินเซี่ยวพูดจาเสียดสี “คนอยู่บ้านเดียวกัน ไม่ยอมกันไม่ได้หรอกนะ เธออยากให้เหอซานกูให้เกียรติ เธอก็ต้องมีความสามารถ”

หลินเซี่ยวเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว จะให้เหอซานกูยั่วโมโหหลินอิ่ง แล้วเขาจะให้กู่ชางไห่เข้ามายุ่งได้อย่างไร

เรื่องในคืนนี้เรื่องยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี ไม่ว่าจะวุ่นวายอีท่าไหน ผลสุดท้ายคนที่ขายหน้าก็คือหลินอิ่ง

คุณชายสามแห่งตระกูลหลินที่แม่เฒ่าหมายตา แม้แต่เรื่องเล็กกระจิ๋วก็ยังจัดการไม่ได้ ขายหน้าในชางโจว สุดท้ายยังต้องให้คุณชายรองประนีประนอมให้ การแสดงอำนาจนี้ก็เพียงพอแล้ว

“น้องหลินอิ่ง ว่ายังไง?” หลินเซี่ยวถามเสียด บีบบังคับ

“คุณชายรอง คุณไม่ต้องพูดแทนไอ้สวะอย่างนี้หรอก ก็แค่ไก่อ่อน จะรับศึกก็ยังไม่กล้า แล้วยังอยากเป็นคุณชายสามตระกูลหลินอีก? น่าขันสิ้นดี!”

หลินอิ่งวางเฉย ทว่าความอาฆาตในดวงตากลับพลุ่งพล่านออกมา

โครม!

หลินอิ่งนั่งอยู่ที่เดิม และจู่ๆ ก็ตบโต๊ะ

โต๊ะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในเสี้ยววินาที

ชี่กังดุดันที่เกาะกลุ่มจนเหมือนวัตถุแผ่ออกมาจากรอบตัวเขา สยบไปทั้งบริเวณ

เสียงระเบิดดังตูมหลายครั้ง

เหอซานกู หลี่ว่านหยวน คนที่มุงอยู่รอบโต๊ะต่างกระเด็นออกไป และหล่นตุบที่พื้น

“อั้ก!”

เหอซานกูนอนหมอบอยู่กับพื้นกระอักเลือด มองหลินอิ่งขวับ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขยาด

ส่วนหลี่ว่านหยวนกับเหลาอู่คนนั้นก็ถูกซัดจนเนื้อตัวมีแต่เลือด มองหลินอิ่งแข้งขาอ่อน

ตระกูลหลินที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็พากันลุกขึ้นยืน สายตาจดจ้องมาทางหลินอิ่ง

พวกเขาต่างคิดไม่ถึง ว่าหลินอิ่งจะมีพลานุภาพน่ากลัวเช่นนี้

ทันใดนั้น หลินอิ่งก็ราวกับเสือร้ายที่โผล่เขี้ยวแหลมออกมา ทรงพลังน่าเกรงขาม ทำให้คนทั้งงานต้องอกสั่นขวัญแขวน

แม้แต่หลินเซี่ยวเองก็ยังต้องเซไปบ้าง แต่เมื่อคืนสติก็มองหลินอิ่งด้วยความเยือกเย็น เผยความประหลาดใจออกมา

หลินอิ่งร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มาก!

“หลินเซี่ยว คนของผม ต้องให้คุณมาสั่งสอนด้วยเหรอ?”

หลินอิ่งลุกขึ้นยืนช้าๆ มองทางหลินเซี่ยวแล้วไต่ถามด้วยเสียงเย็น

เพลิงโทสะเขาปะทุขึ้นแล้วจริงๆ ถึงกับกล้าทำร้ายคนของเขาต่อหน้าเขาเชียวหรือ?

“ในเมื่อคุณจะหาเรื่องให้ได้ งั้นผมก็จะสงเคราะห์ให้”

หลินอิ่งพูดออกมาทีละคำๆ ราวกับพ่นเข็มแหลม ทำให้หลินเซี่ยวว้าวุ่นเล็กน้อย

“ได้สิ หลินอิ่ง งานเลี้ยงที่ฉันจัด ยังไม่เคยมีใครกล้าทำให้โต๊ะแตกเป็นเสี่ยง ฉันก็อยากรู้เหมือนว่าแกจะสักกี่น้ำ” หลินเซี่ยวพูดอย่างเสียงเย็น และฉีกหน้ากากออก

“ผู้อาวุโสทั้งสอง วันนี้พวกคุณก็เห็นแล้ว หลินอิ่งเป็นม้าพยศ รบกวนทั้งสองช่วยผมจัดการไอ้โง่ที่ไม่รู้จักกฎจักระเบียบด้วย!”

หลินเซี่ยวสั่งการอย่างเย็นชา

ทันใดนั้น ในงานก็ปรากฏสองผู้เฒ่าในชุดเสื้อคอจีนสีเทาสองคนแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง พวกเขาทั้งสองเผยลมปราณที่ไม่อาจคาดเดา

เมื่อนั้นยอดฝีมือทั้งสามก็ปิดทางหนี บีบหลินอิ่งจากสามทาง

เมื่อเห็นภาพนี้ กู่ชางไห่ก็ตกใจ เป็นห่วงคุณชายอิ่งอย่างหนัก

แค่หลินเซี่ยวก็จัดการยากแล้ว

เขามองออก ว่าผู้เฒ่าทั้งสองที่ปรากฏตัวมาเงียบๆ นี้ มีพลังบูโดที่เหนือกว่าหลินเซี่ยว!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท