ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 718 พิพากษา?

บทที่ 718 พิพากษา?

“ก็ได้ครับ ในเมื่อเป็นความปรารถนาของคุณยาย งั้นก็ทำตามที่คุณยายต้องการแล้วกัน” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

ดูๆ ไปแล้ว ตอนนี้ตาหลินซวนหวาก็ราวกับเป็นแค่ชายแก่คนหนึ่งเท่านั้น

ทว่าในสมัยก่อนต้องเป็นยอดคนแห่งยุคแน่

สามารถแต่งงานกับผู้หญิงตำหนักหลิงเซียวได้ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?

อีกอย่าง จากที่หลินอิ่งได้ประสบพบเจอมา เขามองออกว่ากำไลหยกขาวสลักหงส์นี้ต้องมีฐานะสูงในหลิงเซียวแน่

หลินซวนหวายิ้มพยักหน้า สายตาเหม่อลอย แล้วถาม “อิ่งเอ๋อ แม่เธอจากไปเมื่อไหร่?”

หลินอิ่งตอบ “ห้าปีที่แล้วครับ แม่ตรอมใจหนัก ตอนคลอดผมก็เสียสุขภาพถึงแก่น ถึงตอนนั้นผมจะเรียนวิชาแพทย์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”

“ซูชิงวาสนาน้อย” หลินซวนหวาถอดถอนใจ “เธอดูคนผิด พ่อเธอไอ้โง่นั่น… เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย!”

“ตอนนั้นตาถูกตระกูลลงโทษหนัก ขังอยู่ในเขตชางโจว แถมยังถูกคนของผู้อาวุโสสองจับตามองอีก ขยับอะไรไม่ได้เลย ไม่มีพรรคพวกไปตามหาพวกเธอสองแม่ลูก…”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอบากบั่นจนมีชื่อ ได้รับการจับตามองจากแม่เฒ่า จนตายตาก็คงไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแน่”

หลินซวนหวาพูดสะท้อนใจ

หลินอิ่งจึงเอ่ย “คุณตาครับ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว”

หลินซวนหวามองหลินอิ่งด้วยสายตาเชื่อมั่น ใบหน้าเปี่ยมด้วยความปลาบปลื้ม “ดี ดี เธอเก่งกว่าตาในตอนนั้นเยอะ!”

หลินอิ่งพูดต่อ “คุณตาครับ สมัยก่อนคุณตากับผู้อาวุโสสองมีความแค้นอะไรกันหรือ? ก่อนผมจะมาตระกูลหลิน เขาก็พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง แถมยังคิดจะกำจัดผมที่ตี้จิงอีก”

เมื่อได้ยินดังนั้นหลินซวนหวาก็แวบประกาย พูดอย่างเคร่งขรึม “ระหว่างผู้อาวุโสสองหลินเสวียนหมิงกับตาที่จริงก็ไม่ใช่ความแค้นใหญ่หลวงอะไร แค่เขาเป็นคนใจแคบเท่านั้น”

“เดิมหลินเสวียนหมิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตา สมัยก่อนก็เข้ากันดี แต่ตอนหนุ่มๆ ก็เพราะเขาตามจีบยายเธอก่อนในตอนแรก แต่ยายเธอกลับมาชอบตาแทน

“หลินเสวียนหมิงคิดว่าตาเป็นคนขัดขวาง เล่นลับหลัง เรื่องนี้วุ่นวายไปทั้งตระกูล เขาคิดว่าตัวเองเสียหน้า ถูกเหยียบย่ำอย่างหนัก ก็เลยเห็นตาเป็นศัตรูคู่แค้นไม่ขออยู่ร่วมโลก สู้กันมาสิบกว่าปี”

“ตอนนั้นที่แม่เธอจะแต่งกับฉีเหอถู ถึงยังไงตระกูลฉีก็เป็นตระกูลมียศร่ำรวยในสังคม แล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎของตระกูลอะไรด้วย แค่จัดการเงียบๆ หน่อยก็เรียบร้อย แต่พอหลินเสวียนหมิงรู้เข้าก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โต สร้างข่าวลือขึ้นมา ทำจนเรื่องนี้เป็นความเสื่อมเสียของตระกูล ผู้คนรู้กันไปทั่ว แล้วฉวยโอกาสฉุดตาลงจากตำแหน่ง

“หลายปีมานี้เขายังเฝ้าระวังตาอยู่ การที่อยู่ๆ เธอก็กลับมา เขาต้องอยู่ไม่สุขแน่”

หลินซวนหวาค่อยพูดค่อยจา

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินซวนหวาก็เปลี่ยนเรื่อง พูดเสียงหนัก “อิ่งเอ๋อ ที่จริงเรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือตอนนั้นตาแพ้ คนที่สูญเสียอำนาจ ความผิดนิดเดียวก็ถูกขยายใหญ่ได้ไม่มีสิ้นสุด สุดแต่อีกฝ่ายจะเชือด”

“เพราะงั้น อิ่งเอ๋อ ในเมื่อครั้งนี้เธอกลับตระกูลหลินมาแล้ว ศึกผู้สืบทอดเธอจะแพ้ไม่ได้! ถ้าเธอแพ้ ญาติ เพื่อนฝูง รวมไปถึงพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหมดก็จะพลอยติดล่ามแหไปด้วย”

“แม่ของเธอก็ถูกติดล่ามแห่งของตา เรื่องนี้…ตารู้สึกผิดมาสิบกว่าปี”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายของหลินซวนหวา

แม่เป็นเหยื่อในการแข่งขันภายใน ส่วนตา… ก็เหมือนกับที่เขาพูด เป็น ‘คนแพ้’

สังคมก็เป็นแบบนี้แหละ

คนแพ้ไม่มีสิทธิ์แก้ตัว

หลินอิ่งเอ่ย “คุณตาครับ เรื่องที่คุณตาเอาชนะศึกครั้งนั้นไม่ได้ ผมจะเอาชนะแทนคุณตาเอง”

“ฮ่าๆ เอาสิ” หลินซวนหวาหัวเราะดีใจ “ได้ยินว่าเมื่อวานเธอฆ่าหลินเซี่ยวไปเหรอ?”

หลินอิ่งตอบ “ครับ ผมฆ่าเขา”

“ที่เธอฆ่าเขาก็ถูกแล้ว ถ้าเธอไม่ฆ่าเขา เขาก็ต้องหาโอกาสมาฆ่าเธอ” หลินซวนหวาพูดจริงจัง “เธอเก่งกว่าตา ต้องจัดการกับตระกูลหลินยังไง ตาสอนเธอไม่ได้ แต่ตาจะเตือนเธอไว้อย่าง เธอจะจัดการคุณชายใหญ่คนนั้นเหมือนกับที่ทำกับหลินเซี่ยวไม่ได้”

“คุณชายใหญ่ปีกกล้าขาแข็งในตระกูลหลิน มีอนาคต เธอจะสู้กับเขา ต้องระวังให้มากๆ”

“ครับ” หลินอิ่งพยักหน้า

ดูท่าคุณชายใหญ่ตระกูลหลินคนนั้นจะมีอิทธิพลในตระกูลมากจริงๆ ไม่แค่ฉินเหิงเยว่เตือนมาหนหนึ่ง แม้แต่ตาก็ให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก

“แม่เฒ่ามอบหมายงานให้ตาอีกครั้ง อีกไม่นานตาก็จะลงเขาไปทำธุรกิจ” หลินซวนหวากล่าว “เรื่องของเธอ ตาจะช่วยอย่างสุดความสามารถ ต่อให้ต้องแลกกับชีวิตไอ้แก่นี่ก็ตาม”

ครั้นแล้วหลินอิ่งจึงว่า “คุณตาไม่ต้องเหนื่อยหรอกครับ ดูแลตัวเองก็พอแล้ว ผมทำอะไรรู้จักหนักเบา”

“อื่ม…” หลินซวนหวาเหมือนยังอยากจะพูดอะไร

ทว่าจู่ๆ ฉินเหิงเยว่ก็เดินเข้ามาจากประตูด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “พี่ซวนหวา แม่เฒ่าเรียกคุณชายหลินอิ่งไปพบครับ”

“ได้ เหล่าฉิน รบกวนเธอแล้ว” หลินซวนหวาพยักหน้า มองทางหลินอิ่ง “อิ่งเอ๋อไปเถอะ เอาไว้ค่อยคุยกัน”

“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนครับคุณตา”

หลินอิ่งลุกขึ้นยืนพาจางฉีโม่เดินออกจากลานบ้านไป

ทั้งสองคนตามฉินเหิงเยว่มาถึงหน้าตึกใหญ่หลังหนึ่ง ย่างเท้าขึ้นตามบันไดหยก

เวลานี้ ในห้องโถงใหญ่ตระกูลหลิน

แม่เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ปรมาจารย์ที่ตำแหน่งหลัก สองข้างมีผู้ที่กุมอำนาจตระกูลหลินอยู่

หลินเสวียนหมิงอยู่ด้านซ้าย ส่วนชายแก่ที่ผมขาวโพลนยืนอยู่ทางด้านขวา

“หารือกันมาตั้งนาน พวกแกยังไม่ได้ข้อสรุปอีกหรือ?” แม่เฒ่าตระกูลหลินเอ่ยปากพูดช้าๆ หรี่ตามองลูกหลานในตระกูลที่อยู่ด้านล่าง

“แม่เฒ่า ผมว่าการตายของหลินเซี่ยวก็เป็นที่รู้กันแล้ว เราไม่จำเป็นต้องลงโทษหลินอิ่งเพราะหลินเซี่ยวอีก นี่มันไม่สมเหตุผล ถ้าทำอย่างที่ผู้อาวุโสสองพูด กำจัดหลินอิ่งเชือดไก่ให้ลิงดู? งั้นตระกูลหลินเราไม่ต้องเสียคนมีความสามารถหรือครับ?” คนที่พูดก็คือชายแก่ผมขาวโพลน หลินสวียนคุน ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหลิน

“ผู้อาวุโสใหญ่ หลินอิ่งไม่ได้ฆ่าหลานคุณนี่ คุณก็เลยพูดอย่างนี้ได้ ถ้าเขาฆ่าหลานคุณ คุณยังจะยุติธรรมอย่างนี้ไหม?”หลินเสวียนหมิงพูดด้วยความเย็นชา โต้กลับ

“ผู้อาวุโสสอง ถ้าหลานฉันสู้ตัวต่อตัวแล้วถูกฆ่า นั่นก็เพราะเขาไร้ความสามารถเอง ฉันจะไม่ออกหน้าให้หลานไม่เอาไหนหรอกนะ” หลินสวียนคุนหัวเราะ พูดตอบโต้

“แก!” หลินเสวียนหมิงเชอะทีหนึ่ง โมโหจนหน้าซีด มองไปทางแม่เฒ่าที่เป็นประธาน “แม่เฒ่า การตายของเซี่ยวเอ๋อเป็นความสูญเสียอันเจ็บปวดของตระกูลหลิน หลินอิ่งโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้กระทั่งพี่น้องร่วมสายเลือด ที่ท่านให้มันกลับเข้าตระกูลเป็นการชักศึกเข้าบ้านชัดๆ!”

“อีกอย่าง หลินอิ่งยังมีความเกี่ยวข้องกับมังกรเขียวกับซือคงฟู่แก๊งมังกรด้วย เขาต้องมีใจคิดคดแน่ คิดอยากเข้าแทรกตระกูลหลินด้วยจุดประสงค์อื่น ถ้าให้เขามีรากฐานในตระกูลหลินมั่นคง ต่อไปตระกูลหลินต้องมีเหตุร้ายไม่สิ้นแน่

แม่เฒ่าบีบหัวไม้เท้ามังกร หรี่ตาเงียบ

“เจ้ารอง แกไม่ต้องพูดอีก แกยังไม่สงบสติอารมณ์ เจ้าใหญ่ แกก็พูดจาไม่มีหลักการ ไม่ต้องพูดด้วยเหมือนกัน เอาอย่างนี้ เจ้าสาม แกดูแลกฎตระกูลหลิน แกลองว่ามา ว่าควรจัดการหลินอิ่งยังไงดี?”

เมื่อผู้อาวุโสสามหลินเสวียนซู่ถูกเรียกชื่อแล้วก็ก้าวออกมา พูดอย่างเคร่งขรึม “แม่เฒ่า ผมว่าทั้งหมดนี้เราจัดการกันทีละเรื่องดีกว่า”

“เรื่องของหลินอิ่งกับคนของท่านเฉินเฟิงยังไม่แน่ชัด ท่านเฉินเฟิงยังอยู่นี่รอแม่เฒ่าให้ความเป็นธรรมกับเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ให้หลินอิ่งมาเจรจาข้อพิพาทกับท่านเฉินเฟิงก่อน ดูว่าหลินอิ่งจะจัดการเรื่องนี้ยังไง เป็นการทดสอบความสามารถของเขาด้วย”

“เสร็จแล้วเราค่อยมาจัดการเรื่องที่หลินอิ่งสังหารคุณชายเซี่ยว”

“เจ้าสาม แกพูดได้ดี” แม่เฒ่าพยักหน้า เป็นอันได้ข้อสรุป “หลินอิ่งไม่ต้องเข้ามา ให้เขาไปห้องด้านข้างพูดกับท่านเฉินเฟิง ในเมื่อไอ้เด็กนี่กล้าฆ่าหลินเซี่ยว ฉันก็จะดูสิว่าเขาจะเก่งซักแค่ไหน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท