ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 717 คุณตาหลินซวนหวา

บทที่ 717 คุณตาหลินซวนหวา

หลินอิ่งยิ้มจาง ไม่พูดมาก

“คุณชายหลินอิ่ง ผมพูดได้อย่างเดียว ผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสใหญ่ต่างอยู่ในเขาลังยา ผู้อาวุโสสองชอบการสู้รบตบมือ แต่ถ้าเทียบกันแล้วผู้อาวุโสใหญ่ที่สุขุมน่ากลัวกว่ามาก” ฉินเหิงเยว่กล่าว

“ครั้งนี้ผู้อาวุโสใหญ่กับคุณชายใหญ่ได้ชัยกลับมาจากจี้โจว เห็นว่าทำกำไรให้ตระกูลหลินมหาศาล กำลังเป็นใหญ่ในตระกูล คุณชายหลินอิ่งอย่าได้มีเรื่องกับเขาง่ายๆ เป็นอันขาด”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย กล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสฉินที่ชี้แนะ”

ผู้อาวุโสฉินก็พยักหน้าเช่นกัน ตั้งสติอยู่กับการขับรถ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถได้เข้าไปอยู่ในส่วนลึกของเขาชางซานแล้ว ระหว่างทางมีต้นไม้เขียวขจีอยู่แน่นขนัด

ท้ายที่สุดก็จอดอยู่ที่ตีนเขาเขียวสูงตระหง่าน

พวกเขาทั้งสามลงจากรถ

ที่แห่งนี้เมื่อทอดสายตาออกไปไกล ด้านบนเป็นยอดเขาสูงชัน ลักษณะเขานี้มีต้นไม้ใหญ่เขียวสูงชะลูดอยู่ และเส้นทางเขาก็ถูกม่านหมอกปกคลุมจนขมุกขมัว

ภูมิศาสตร์กว้างใหญ่ มีบรรยากาศน่ารื่นรมย์

“เขาลังยา…” หลินอิ่งพูดพึมพำ สายตาจับจดอยู่ที่ไกล

สัมผัสแรกที่เขารู้สึกถึง ก็คือความหลุดพ้น

ราวกับไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์ ไม่มีแสงสีเสียง ราวกับโลกในอุดมคติ

“คุณชายหลิน จากตรงนี้ไปต้องเดินเท้าแล้ว โปรดตามผมมา” ผู้อาวุโสฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งมองจางฉีโม่ที่อยู่ด้านข้าง เธอกำลังมองแวดล้อมรอบๆ อยู่

“ไปกันเถอะ ฉีโม่”

ครั้นแล้วพวกเขาก็เดินเท้าขึ้นเขา เข้าไปอยู่ท่ามกลางหมอกหนา

เส้นทางเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลด เลี้ยวเข้าป่าลึกยังต้องผ่านผาเหวอีกหลายลูก ยังมีสะพานโซ่ที่น่าหวาดเสียวอีก

จางฉีโม่กลัวถึงขนาดไม่กล้าข้ามสะพาน หลินอิ่งจึงอุ้มเธอเดินข้ามไป

ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ แต่ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม

ตลอดทางที่เดินมาล้วนปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ไม่รู้ว่าเดินถึงตำแหน่งไหน แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือที่พกมาด้วยก็ขาดหาย

พูดได้เลยว่าหากไม่ใช่เพราะหลินอิ่งกับฉินเหิงเยว่มีฝีมือพอตัว คนปกติถึงรู้เส้นทางก็คงเข้ามาไม่ได้

หลินอิ่งรู้ดีว่าตระกูลลึกลับโดยมากแล้วจะตัดขาดกับโลกภายนอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลินแห่งเขาลังยาที่อยู่ในอันดับหนึ่ง

เขาลังยา เป็นดินแดนที่ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์

“ถึงแล้วครับคุณชายหลินอิ่ง คุณนายหลิน”

ฉินเหิงเยว่เปิดปากพูด

เวลานี้ ทั้งสามได้ถึงวังหยกขาวที่จัดเรียงเป็นหลังๆ โอ่อ่ากว้างขวาง ภายในยังมีอาคารโบราณงดงามเป็นหลังๆ ตั้งอยู่ ดูแล้วน่าจะมีอายุพอควร

นี่อย่างกับเดินเข้าพระราชวังโบราณแน่ะ น่าตื่นตะลึงมาก

แถมรอบทิศยังถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีขาว ทั้งสามราวกับกำลังอยู่ในทะเลแห่งสายหมอก มองเห็นเขาเขียวธารใสลางๆ ยินเสียงน้ำอยู่เนืองๆ

และเบื้องหน้าคฤหาสน์ทั้งหลายก็มีแผ่นป้ายตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่

ตระกูลหลินแห่งลังยา!

ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนั้นยิ่งใหญ่อลังการมาก!

ด้านล่างแผ่นป้ายมีชายหนุ่มในชุดคอจีนกำลังยืนเข้าแถวต้อนรับด้วยท่าทางเคร่งขรึม

หลินอิ่งพาจางฉีโม่เดินเข้าไป

จางโม่อึกอัก มองดูรอบๆ ราวกับประหลาดใจมาก อยากถามอะไรกับหลินอิ่ง

อย่างไรเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่เคยสัมผัสตระกูลลึกลับ เมื่อมาถึงเขาลังยาแล้วก็ต้องประหลาดใจและสะท้อนใจเป็นธรรมดา

กลุ่มชายหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนไม่พูดไม่จา เพียงแต่เดินนำทางไปอย่างเคร่งขรึม

เมื่อทุกคนมาถึงหน้าอาคารที่มีกลิ่นอายโบราณแล้ว

“คุณชายหลินอิ่ง พี่ซวนหวาคุณตาของคุณกำลังรอคุณอยู่ในนั้น คุณไปทักทายกันก่อน เอาไว้แม่เฒ่าเรียกพบแล้วผมค่อยมาพาคุณไปที่ห้องโถงใหญ่ตระกูลหลิน” ฉินเหิงเยว่พูดอย่างจริงจัง

“พี่ซวนหวา หลินอิ่งหลานพี่มาแล้ว!”

ฉินเหิงเยว่ตะโกนเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งผงกศีรษะเล็กน้อย พาจางฉีโม่เดินเข้าไปในลานสไตล์โบราณ

ภายในลานมีโต๊ะหินวางอยู่ตัวหนึ่ง และมีชายชราที่สวมชุดฝึกกังฟูสีขาวกำลังนั่งดื่มชาอยู่

วินาทีที่หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินเข้ามา สีหน้าชายชราผู้นั้นก็เปลี่ยนไป จ้องหลินอิ่งสำรวจมองอยู่นาน

“เธอคือ…อิ่งเอ๋อ?” เสียงชายชราสั่นเครือเล็กน้อย พูดด้วยความตื่นเต้น

หลินอิ่งมองอีกฝ่ายสายตาหนึ่ง เปลี่ยนสีหน้าด้วยเหมือนกัน ถามไปด้วยความสงสัย “คุณตาซวนหวา?”

“ใช่ ใช่!” หลินซวนหวาพยักหน้าอมยิ้ม

หลินอิ่งมองหลินซวนหวา หน้าตาตาคล้ายแม่ของเขาบางส่วน โดยเฉพาะดวงตาที่มีเมตตา

บุคลิกหลินซวนหวาเรียบง่าย ผิวเหลืองเล็กน้อย มือทั้งสองมีตาปลา ราวกับเกษตรกรธรรมดาคนหนึ่ง

“นี่ก็คือจางฉีโม่ ภรรยาของอิ่งเอ๋อเหรอ?” หลินซวนหวามองจางฉีโมทีหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

“คารวะคุณตาค่ะ” จางฉีโม่พูดอย่างมีมารยาท

“ดี ดี มาก็ดีแล้ว” หลินซวนหวาดีใจพยักหน้า

“นั่งสิ พวกเธอนั่งลงก่อน”

หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งอยู่ที่โต๊ะหิน ล้อมรอบหลินซวนหวา

จากนั้นหลินซวนหวาก็ล้วงกำไลหยกขาวแกะสลักรูปหงส์ออกมาจากอก ส่งยื่นให้กับมือจางฉีโม่แล้วเอ่ย “ตาไม่มีของดีอะไรให้ รับสิ่งนี้ไว้นะ นี่เป็นกำไลที่ยายเธอใส่มาตอนแต่งงาน ถือเป็นธรรมเนียมของบ้านเราก็ได้”

จางฉีโม่รับกำไลมาอย่างตั้งใจแล้วกล่าว “ขอบคุณค่ะคุณตา”

“ดี ดีมาก” ใบหน้าหลินซวนหวาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “เกิดมาชาตินี้ได้เจออิ่งเอ๋อกับหลานสะใภ้ แค่นี้ตาก็ไม่หวังอะไรแล้ว”

หลินอิ่งเข้าใจในความรู้สึกของตาหลินซวนหวา เพราะแม่ของเขาที่เป็นลูกสาวถูกขับออกจากตระกูลตั้งแต่ยังสาว ทั้งตายังถูกตระกูลหลินลงโทษหนัก กักบริเวณให้อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในชางโจว ทิ้งความเป็นยอดฝีมือในแวดวงลึกลับและฐานะในตระกูลหลินยังไม่พอ แต่ยังต้องทนลำบากตามลำพังอีก

หลินอิ่งจ้องกำไลหยกขาวที่แกะสลักเป็นรูปหงส์ในมือฉีโม่ จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาขยับทันที

“คุณตาครับ นี่มัน…?!” หลินอิ่งถามด้วยความฉงนใจ

หลินซวนหวาหัวเราะ “อิ่งเอ๋อ ตาได้ยินเรื่องของเธอมาบ้าง คิดว่าหลายปีมานี้เธอคงได้มีโอกาสสร้างชื่อมาบ้าง เธอดูออกแล้วละสิ? นี่เป็นกำไลหยกของหลิงเซียว ยายเธอแต่งมาจากหลินเซียวมาตระกูลหลิน ก่อนเธอจากไปได้ทิ้งเอาไว้”

“นี่เป็นความปรารถนาของเธอ บอกว่าถ้ามีโอกาสได้เจอลูกชายของซูชิงก็ให้มอบให้เขา นี่เป็นของที่เธอตั้งใจมอบให้ว่าที่หลานสะใภ้”

“แต่นี่…” หลินอิ่งจะพูดแต่ก็หยุดอีก เดิมเขาไม่อยากให้ฉีโม่รับกำไลวงนี้มา แต่จะปฏิเสธความปรารถนาของผู้ใหญ่ก็ไม่ได้

นี่หาใช่กำไลหยกธรรมดาไม่! แต่เป็นกำไลหยกที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่งของ ‘หลิงเซียว’

หลิงเซียวหรือที่เรียกว่าตำหนักหลิงเซียว เป็นกองกำลังใหญ่ยักษ์ในแวดวงลึกลับ ตอนที่ขึ้นสู่ยุคทองยังแทบเทียบเคียงแก๊งมังกร

หนึ่งแก๊งสองตำหนัก สี่สำนักหกตระกูล

ที่พูดถึงอยู่นี้ก็คือกองกำลังสิบอันดับในแวดวงลึกลับประเทศหลุง เห็นได้ว่าตำหนักหลิงเซียวขึ้นอยู่ตำแหน่งสำคัญได้เลย

เมื่อฉีโม่รับกำไลหยกนี้แล้วก็ต้องเกี่ยวข้องกับหลิงเซียว

เพราะแต่ไรมาแวดวงลึกลับก็มีเหตุและผล ให้ความสำคัญกับการสืบทอด

“อิ่งเอ๋อ เธอไม่ต้องคิดมากไป ตอนนี้เธอถูกแม่เฒ่าตั้งขึ้นเป็นผู้สืบทอดแล้ว นี่เป็นช่วงสำคัญ ตาไม่มีรากฐานในตระกูลหลิน หลิงเซียวเป็นบ้านเดิมของยายเธอ ยังพอมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง

“ถ้าเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหลิงเซียว ฉีโม่พกติดตัวไว้พวกอันธพาลก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เธอจะได้วางใจ”

หลินซวนหวาพูดพลางหัวเราะ ราวกับมองความคิดของหลินอิ่งออก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท