ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 726 คุณชายใหญ่มาแล้ว

บทที่ 726 คุณชายใหญ่มาแล้ว

ณ ภูเขาลังยา ภายในห้องโถงที่สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อ

ท่านเฉินเฟิงสวมชุดนักเต๋า นั่งสมาธิอยู่บนฟูก

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังลอดเข้ามา

หลินเสวียนหมิงเดินเข้ามา มือไพล่หลัง มองไปที่ท่านเฉินเฟิงอย่างเย็นชา

“ตู้เฉินเฟิง แกหมายความว่าไง?” หลินเสวียนหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ท่านเฉินเฟิงค่อยๆหันกลับมา แล้วใช้สายตาดั่งเช่นปกติมองไปที่หลินเสวียนหมิง แล้วถามไปว่า “พี่เสวียนหมิงทำไมพูดแบบนี้ครับ?”

“แกไม่ต้องอุบฉันอีกแล้ว พูดมา ทำไมแกถึงเปลี่ยนการตัดสินใจฉุกละหุก เปลี่ยนมาหักหลังฉันแบบนี้ห้ะ?แกเห็นว่าข้อตกลงระหว่างเราเป็นเรื่องไร้สาระรึไง?แกเอาหลินนเสวียนหมิงคนอย่างฉันไปไว้ที่ไหน?” หลินเสวียนหมิงถามอย่างโกรธเคือง เขารู้สึกไม่พอใจท่านเฉินเฟิงเป็นอย่างมาก

ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “พี่เสวียนหมิง เรื่องที่ควรพูด ผมก็พูดต่อหน้าแม่เฒ่าตระกูลหลินของพวกพี่ไปแล้ว ผมพูดชัดเจนหมดแล้วไม่ใช่หรอ?ความแค้นระหว่างผมกับหลินอิ่งจบกันไปแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย”

“เหอะ” หลินเสวียนหมิงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แล้วพูดอย่างสงสัย “ตู้เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้แกพูดยังไงนะ?จะไม่ขออยู่ร่วมแผ่นฟ้าเดียวกันกับหลินอิ่งที่เป็นศัตรู?ทำไมล่ะ?เขาให้ประโยชน์อะไรนายงั้นหรอ ถึงทำให้แกไม่แก้แค้นให้ลูกศิษย์ของแก แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่เอา?”

“หลินเสวียนหมิง!” ท่านเฉินเฟิงลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ “คุณพูดอะไรห้ะ?คุณอย่าคิดว่าคุณเป็นผู้อาวุโสสอง แล้วจะเหยียดหยามผมยังไงก็ได้น่ะ”

“ถ้าผมไม่คิดว่าผมอยู่ที่ภูเขาลังยา วันนี้เขาจะชักดาบออกจากฝัก เพื่อถามคุณถึงเรื่องที่เกิดขึ้น!”

หลินเสวียนหมิงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แล้วพูดว่า “ตู้เฉินเฟิง แกคิดว่าแกยังเป็นคนในตอนนั้นงั้นหรอ? วิชาบูโดของแกจะสามารถข่มฉันได้งั้นหรอ”

“วันนี้แกลอบกัดฉัน ในอนาคต ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจหุบเฉินเฟิงของแกแล้วกัน!”

ท่านเฉินเฟิงตอบกลับอย่างเย็นชา “หลินเสวียนหมิง ผมรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับคุณ คุณจะทำอะไรกับหุบเฉินเฟิง ก็เชิญมาได้เลย คุณจะต่อกรกับหลินอิ่ง นั่นก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม”

ท่านเฉินเฟิงเองก็รู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ ถูกหลินเสวียนหมิงทำให้โกรธ

ถ้าเป็นเวลาปกติเขาไม่มีทางล่วงเกินหลินเสวียนหมิงแบบนี้หรอก แต่เพราะความชั่วร้ายที่ไม่มีใครเทียบกับหลินอิ่งได้ ล่วงเกินหลินเสวียนหมิงจะเป็นไรไป?

ถ้าหลินอิ่งไม่ได้ผนึกเส้นลมปราณไว้ยางส่วน ทำให้พลังของเขาได้รับความเสียหาย เขาคงไม่มีทางกลัวหลินเสวียนหมิงแบบนี้หรอก

เนื่องจาก เขาได้ก้าวไปสู่รายการแห่งฟ้าก่อนหลินเสวียนหมิง มีความแตกฉานมากกว่า

ท่านเฉินเฟิงครุ่นคิด ขอแค่ทำภารกิจที่หลินอิ่งมอบหมายให้ดีๆ เมื่อปลดผนึกเส้นลมปราณได้แล้ว พลังฟื้นกลับคืนมา เขายังต้องกลัวอะไรหลินเสวียนหมิงอีก?

“ได้ๆๆ”

เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของท่านเฉินเฟิง หลินเสวียนหมิงก็โกรธจนหัวเราะออกมา พูดคำว่าได้ติดต่อกันสามครั้ง

“งั้นก็รอดูเถอะ!”

พูดทิ้งท้ายเสร็จ หลินเสวียนหมิงก็สบถเสียงหึ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที

เดินออกมาจากห้องโถง สีหน้าของเขาหน้าดำคร่ำเครียด

การแสดงออกของท่านเฉินเฟิงผิดปกติเกินไป!

กล้าแข็งกร้าวกับเขาขนาดนี้เชียวหรอ?

ยอมผิดใจล่วงเกินเขาที่เป็นผู้อาวุโสสองของตระกูลหลิน ยอดฝีมือรายการแห่งฟ้า แต่ก็ไม่กล้าไปล่วงเกินหลินอิ่งไอ้เด็กคนนั้น?

สมองพังไปแล้วรึไงกัน?

หลินเสวียนหมิงยิ่งคิดยิ่งโมโห ศึกนี้กลับถูกหลินอิ่งทำให้พ่ายแพ้ลงไป?

ไม่ช้าก็เร็วต้องหาโอกาสจัดการหุบเฉินเฟิงซะ แล้วเหยียบหลินอิ่งให้จมดิน!

ท่านเฉินเฟิงที่สูญเสียวิชาบูโดไปครึ่งหนึ่ง อีกคนก็คือหลินอิ่งที่รนหาที่ตาย กล้าท้าทายอำนาจของเขา!

……

สวนหลังบ้านอีกแห่งหนึ่งในภูเขาลังยา

หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งล้อมอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนในสวนหลังบ้าน หลินซวนหวากำลังถือกาน้ำชา แล้วค่อยๆรินให้กับทั้งสองคน

“อิ่งเอ๋อ ดูท่าพลังของหลาน จะแข็งแกร่งของปู่นะ ท่านเฉินเฟิงคนระดับนั้น ยังถูกหลานจัดการได้เลย” หลินซวนหวาพูดอย่างสะท้อนใจ “ปู่ยังเป็นห่วงว่าหลานจะต้องลำบาก”

“พูดว่าจัดการเรียบร้อยไม่ได้หรอกครับ ผมแค่ไปคุยเจรจากับท่านเฉินเฟิง คนผู้นี้เป็นคนที่รู้เหตุรู้ผล” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งเฉย

หลินซวนหวาหัวเราะ ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขารู้ว่าหลินอิ่งต้องมีความลับของตัวเองอย่างแน่นอน

“อิ่งเอ๋อ แม่เฒ่าให้ตาใหญ่อยู่คุยต่อ ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่ๆ” หลินซวนหวาพูดอย่างจริงจัง “ตามการคาดเดาของปู่นะ อีกไม่นานหลานก็จะต้องเผชิญหน้ากับคุณชายใหญ่แล้วล่ะ”

“ภายนอกของผู้อาวุโสสงบเยือกเย็น ความจริงแล้วมีความคิดอยากเอาชนะมากกว่าผู้อาวุโสสอง ถึงแม้หลานจะไม่เคยล่วงเกินอะไรเขา แต่เขาไม่สามารถทนให้ตำแหน่งผู้อาวุโสของเขาสั่นคลอนได้หรอก”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ”

“อืม” หลินซวนหวาพยักหน้าเช่นกัน “หลานเตรียมตัวเตรียมใจไว้รึยัง วิชาบูโดของหลินเซวียนคุณชายใหญ่จะดูถูกไม่ได้เชียวนะ ในแวดวงลึกลับถูกขนานนามว่าเป็นยอดฝีมือลำดับที่หนึ่งของรายการแห่งฟ้า ชื่อเสียงโด่งดัง เป็นท่านผู้นำของรายการแห่งดิน”

หลินซวนหวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้าปู่เดาไม่ผิดนะ ผู้อาวุโสน่าจะออกความเห็นให้แม่เฒ่า สั่งให้หลานไปจัดการเรื่องของตระกูลเผยที่มณฑลจี้โจว แล้วให้หลินเซวียนไปวัดว่าใครเก่งกาจกว่าที่นี่”

“อ่อ?” หลินอิ่งเริ่มสนใจขึ้นมา จึงเอ่ยถามไปว่า “คุณปู่วิเคราะห์ได้ยังไงครับ?”

เขาได้วางแผนเรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจวนานแล้ว และเคยได้ยินว่าคุณชายใหญ่พึ่งกลับมาจากตระกูลเผยแห่งจี้โจว ยังได้รับผลประโยชน์กลับมาไม่น้อย

หลินซวนหว่พูดอย่างจริงจังว่า “สถานการณ์ของตระกูลเผยแห่งจี้โจวซับซ้อนมาก ในอนาคตแวดวงลึกลับจะมีแค่ห้าตระกูลใหญ่ ตระกูลเผยกำลังจะโดดเดี่ยว ตระกูลหลินวางแผนเรื่องนี้มาหนึ่งปีเต็มๆ ก็เพื่อเก็บรวบรวมทุกอย่างของตระกูลเผย”

“คุณท่านของตระกูลเผยแห่งจี้โจวกำลังจะป่วยตาย และตระกูลเผยต้องการพลังเทพเส่ยี แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนในแวดวงลึกลับละโมบอยากได้ นอกเหนือจากนี้ รากฐานอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเผยในจี้โจว ในอาณาจักรเงินทองของโลก……”

“คิดดูสินี่คือพายุนองเลือด”

“คุณชายใหญ่ได้โอกาสที่มณฑลจี้โจวก่อน แม่เฒ่าให้ผู้อาวุโสอยู่ต่อ นั่นก็คือจะให้คุณชายใหญ่ต่อสู้กับหลาน และเขาสามารถรู้เจตนาของแม่เฒ่าเสมอ ดังนั้นจึงเสนอให้หลานไปที่มณฑลจี้โจว แบบนี้เขาจะมั่นใจมากยิ่งขึ้น”

หลินอิ่งพยักหน้า แล้วพูดว่า “ไปก็ได้”

หลินซวนหวากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มี ผู้ชายสวมชุดสูทสีกรมท่าคนหนึ่งเดินเข้ามาจากหลังประตูของสวนหลังบ้าน

นี่คือชายวัยประมาณสามสิบปี มีรูปลักษณ์หล่อเหลา ไม่มีความโกรธเคืองหรือถือตัวอะไร ท่าทีไม่ธรรมดา

สีหน้าของหลินซวนหวาประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณชายใหญ่มาเยือน ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ”

คนที่มา ก็คือหลินเซวียนคุณชายใหญ่ของตระกูลหลิน

“อาสิบสองเกรงใจเกินไปแล้วครับ ผมกลับมาจากมณฑลจี้โจวครั้งนี้ ได้ยินมาว่าคุณชายหลินอิ่งกับอาสิบสองกลับมาที่ภูเขาลังยาแล้ว ผมเลื่อมใสมานาน จึงตั้งใจมาเยี่ยมอาสิบสองเป็นพิเศษ ยินดีกับอาสิบสองและคุณชายสามด้วยนะครับ” หลินเซวียนพูดไปหัวเราะไป

พูดจบ สายตาของหลินเซวียนมองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งมองอย่างเฉยเมย

ทั้งสองสบตากัน สีหน้าปกติเรียบเฉยมาก แต่บรรยากาศกลับเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมาในทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท