ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 724 ท่านเฉินเฟิงกลับคำ

บทที่ 724 ท่านเฉินเฟิงกลับคำ

แม่เฒ่าพูดถึงตรงนี้ หลินเสวียนหมิงก็มองไปที่หลินอิ่งอย่างเย้ยหยัน

ในใจของเขารู้ดีว่าอยากจะเอาเรื่องนี้กำจัดหลินอิ่งมันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้หลินอิ่งเสียเลือดเสียเนื้อบ้าง เพื่อศักดิ์ศรี

หลังจากนั้น ค่อยหาโอกาสจัดการเก็บเด็กคนนี้

แม่เฒ่าค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “ตระกูลหลินมีกฎจะต้องลงโทษ งั้นก็ยึดของขวัญปู่ของแก ยึดทรัพย์สินที่ปินไห่ที่เคยมอบให้เขา”

“นอกจากนี้ ตอนนั้นท่านเฉินเฟิงจะไปแก้แค้นอด แต่ฉันขวางเอาไว้แทนแก”

“ฉันจะลงโทษ ด้วยการให้แกไปสะสางความแค้นระหว่างหุบเฉินเฟิง ถ้าแกถูกท่านเฉินเฟิงฆ่าตาย ฉันจะไม่ยอมยื่นมือไปช่วยแก”

“แม่เฒ่า นี่ท่าน?”

หลินเสวียนหมิงนั่งต่อไปไม่ได้แล้ว เขาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

แม่เฒ่าปกป้องหลินอิ่งเกินไปรึเปล่า?

นี่มันคือการลงโทษหนักอย่างไร?

ยึดทรัพย์สมบัติที่เคยให้หลินซวนหวาแค่นั้นมันจะไปพออะไร?อย่างมากสุดนั่นก็แค่ทรัพย์สินมูลค่าพันล้านเท่านั้น

หลินซวนหากลับสู่ตระกูลหลินแล้ว กลับมามีตัวตนสถานะ ทรัพย์สมบัติแค่นั้นจะไปมีค่าอะไร?

ทั้นสอง ให้หลินอิ่งไปจัดการสะสางความแค้นกับหุบเฉินเฟิง?

ถ้าหากแม่เฒ่าพูดก่อนหน้านี้ ในใจของหลินเสวียนหมิงคงรู้สึกดีใจแทบไม่ไหวแน่ เพราะไม่มีแม่เฒ่าคอยควบคุมเรื่องนี้ เขาจะสามารถสั่งการให้ท่านเฉินเฟิงฆ่าหลินอิ่งได้เลย

แต่ตอนนี้ เรื่องมันกลับตาลปัตรไม่เหมือนเดิมแล้ว ตู้เฉินเฟิงก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงแล่อยหลินอิ่งออกมาอย่างสบายใจ

“อะไร?” แม่เฒ่ากลอกตาใส่หลินเสวียนหมิงอย่างไม่พอใจ “หลินเซี่ยวพ่ายแพ้เพราะตัวต่อตัวกับหลินอิ่ง ตลอดมาแม่เฒ่ายุติธรรม ถ้าหาดหลินเซี่ยวฆ่าหลินอิ่ง เธอก็จะไม่กล่าวโทษหลินเซี่ยวเช่นกัน ความสามารถของเขาไม่เท่าคนอื่น ถ้ายังไปช่วยเขาเอาเรื่อง นี่มันไม่มีเหตุผล?เรื่องนี้ต้องปล่อยให้ผ่านไป ห้ามใครเอ่ยขึ้นทั้งนั้น!”

“แน่นอนว่า ตระกูลหลินมีกฎ ในเมื่อเรื่องนี้ฉันไม่เข้าข้างหลินเซี่ยว ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่เข้าข้างหลินอิ่งแล้วขวางคนของหุบเฉินเฟิงแทนเขา”

“เอาล่ะ ให้มันเป็นแบบนี้เนี่ยแหละ ไปเรียกท่านเฉินเฟิงมาที่คฤหาสน์!หลินอิ่ง แกคุยเรื่องนี้ต่อหน้าศัตรูทุกคนแล้วกัน ควรจะทำยังไง แกไปตัดสินใจเอาเอง ถึงยังไงฉันก็จะไม่ช่วยแก นี่เป็นการทดสอบแกอย่างหนึ่ง” แม่เฒ่าพูดอย่างเด็ดขาด

พูดจบ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พากันเงียบ

ทัศนคติของแม่เฒ่าชัดเจนมาก

ภายนอกพูดว่าไม่ปกป้องหลินอิ่ง ความจริงแล้วกลับปกป้องเขา

แม่เฒ่าหรี่ตาลง มองไปที่หลินอิ่ง

เดิมทีเธอไม่ได้วางแผนเช่นนี้ แต่มีวิธีอื่นที่ช่วยหลินอิ่งหยุดผู้อาวุโสสอง

เพียงแต่ หลินอิ่งมาจากที่ของท่านเฉินเฟิง โดยที่ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่ปลายผม นี่ดึงดูดความสนใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมาก

ประการที่สอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม่เฒ่าอยากทุบตีหลินอิ่ง

ทำให้หลินอิ่งรู้ว่าตระกูลหลินเป็นที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของเขา ถ้าปล่อยให้หลินอิ่งได้รับความกดดันของหุบเฉินเฟิง แล้วขอความช่วยเหลือจากเธอ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะได้ใช้บุญคุณกับความน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่านเฉินเฟิงค่อยๆเดินเข้ามาในห้องโถง

“แม่เฒ่า เชิญกระผมมาที่นี่ มีอะไรให้รับใช้ครับ?” ท่านเฉินเฟิงถามอย่างจริงจัง

แม่เฒ่าค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “ตู้เฉินเฟิง ก่อนหน้านี้คุณเคยบ่นกับฉันตลอดไม่ใช่หรอ ว่าจะขอให้ตระกูลหลินอธิบาย?นี่ไง หลินอิ่งคนที่ฆ่าลูกศิษย์ของคุณอยู่นี่แล้ว ก่อนหน้านั้นก็เคยพบเจอกับเขามาแล้ว คุณอยากจะทำอย่างไรกับเขาบอกมาได้เลย ฉันจะไม่ช่วย ไม่ปกป้อง”

ใบหน้าของท่านเฉินเฟิงนิ่งเฉย มองไปที่แม่เฒ่าแวบหนึ่ง แล้วมองไปที่หลินอิ่ง ในใจกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

คนตระกูลหลินที่อยู่ในเหตุการณ์ มองดูฉากนี้ด้วยความตึงเครียด แต่ละคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง

มีคนจำนวนมาก กำลังรอดูฉากสนุกๆนี้อยู่

เนื่องจากท่านเฉินเฟิงอยู่ในภูเขาลังยามานานขนาดนี้ พวกเขาต่างรู้กันดีว่า ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เฒ่าเป็นคนกดข่มไว้ ตาแก่ผู้นี้คงจะไปเปิดฉากฆ่าล้างที่ตี้จิงอย่างบ้าคลั่งแล้ว

คราวนี้ ดูสิว่าหลินอิ่งจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่

ท่านเฉินเฟิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “แม่เฒ่าครับ เรื่องนี้ให้มันผ่านไปเถอะ กระผมเคยคุยกับคุณชายหลินอิ่งแล้ว มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น กระผมไม่คิดจะหาเรื่องอะไรคุณชายหลินอิ่งหรอกครับ”

“หืม?เป็นการเข้าใจผิด?” แม่เฒ่ารู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าท่านเฉินเฟิงทำไมจู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้

ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างจริงจังไปว่า “เหอซานจินลูกศิษย์ของกระผมคนนั้น หยามเกียรติของสำนัก กลับสมคบคิดร่วมมือกับคนต้าเหอที่อยู่เมืองนอก วางแผนใส่ยาพิษทำร้ายญาติของคุณชายหลินอิ่ง การกระทำต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้มันคือการทำของสัตว์เดรัจฉาน ถึงคุณชายหลินอิ่งจะไม่ฆ่า กระผมก็จะลงมือกำจัดเขาด้วยตัวเอง”

“ดีแล้วครับที่ คุณชายหลินอิ่งฆ่าเขาซะ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของแม่เฒ่าก็ประหลาดใจมาก มองไปที่หลินอิ่ง แล้วมองไปที่ท่านเฉินเฟิง เธอรู้สึกว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายขนาดนี้

เหอซานจินผู้นั้นทำไมถึงถูกหลินอิ่งฆ่า ตู้เฉินเฟิงไม่ได้พึ่งรู้ ทำไมถึงได้พึ่งมาบอกเอาตอนนี้ล่ะ?

ต้องรู้ว่า ตอนนั้นท่านเฉินเฟิงดวงตาลุกโชนขนาดไหน ไม่กลัวที่จะท้าทายความน่าเกรงขามของตระกูลหลิน ขึ้นมาที่ภูเขาลังยาเพื่อมาบ่นร้องทุกข์กับเธอ แล้วยังพาบรรดาลูกศิษย์มารอที่มณฑลชางโจวถึงหนึ่งเดือนกว่าๆ เพื่อรอให้หลินอิ่งกลับตระกูลหลิน มาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

สรุปสุดท้าย ตอนนี้มากลับคำเอาดื้อๆแบบนี้?

มีอะไรผิดปกติในนี้?

แม่เฒ่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ผ่านอะไรมานานหลายปีขนาดนี้ เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

“แม่เฒ่าครับ ผมได้ขอคำชี้แนะจากคุณชายหลินอิ่งมาแล้ว ความสามารถของคุณชายหลินอิ่ง ทำให้กระผมตกใจมาก กระผมเลื่อมใสเคารพคุณชายหลินอิ่งมากครับ เรื่องในตอนนั้นปล่อยให้มันผ่านไปอย่าเอ่ยได้เอ่ยถึงเลยครับ กระผมทำอะไรโง่ๆเอง” ท่านเฉินเฟิงพูดอย่างจริงจัง แล้วทำมือคารวะ “แม่เฒ่าครับ กระผมขอลานะครับ หลายวันมานี้อยู่ที่ภูเขาลังยารบกวนท่านมาเยอะแล้ว”

ในใจของแม่เฒ่ารู้สึกมึนงงมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้า แล้วพูดขึ้นมาว่า “เป็นอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว ความแค้นเคืองพึงละไม่พึงผูก ตู้เฉินเฟิง ในเมื่อคุณจะไม่ขอเอาผิดกับการตายของลูกศิษย์กับตระกูลหลินอีกต่อไป ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รั้งคุณแล้วล่ะ”

ท่านเฉินเฟิงทำมือคารวะ แล้วค่อยๆออกจากห้องโถงไป

บรรยากาศเงียบลงมาในทันที ทุกคนต่างพากันมองไปที่หลินอิ่ง

ผู้อาวุโสตระกูลหลินพวกนั้น ต่างมองไปที่หลินอิ่งมากเป็นพิเศษ สายตาเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง

คุณชายสามผู้นี้ที่กลับมาสู้ตระกูลหลินไม่ธรรมดาจริงๆ

พวกเขาดูออกถึง ท่าทีของท่านเฉินเฟิง เห็นได้ชัดว่ากลัวหลินอิ่งมาก!

ความสามารถของหลินอิ่ง ยากที่จะหยั่งถึงจริงๆ

แม่เฒ่ามองไปที่หลินอิ่งอย่างลึกซึ้ง หลินอิ่งไร้ซึ่งสีหน้าอารมณ์ ดูไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติอะไร

“ดีมาก หลินอิ่งเอ้ยหลินอิ่ง ซ่อนลึกจริงๆเลยนะ ถึงได้ทำให้ตู้เฉินเฟิงหนามยอกอกผู้นี้สงบลงได้อย่างเงียบๆ ปล่อยให้ฉันกังวลใจมานานขนาดนี้” แม่เฒ่าค่อยๆพูดขึ้นอย่างเนิบๆ

พูดจบ แม่เฒ่าก็มองไปที่หลินเสวียนหมิง และพูดขึ้นมาว่า “เสวียนหมิง คราวนี้มีอะไรจะพูดอีกไหม?หลินอิ่งสามารถจัดการตู้เฉินเฟิงได้แล้ว เซี่ยวเอ๋อมีความสามารถนี้ไหม?เขาไปสร้างปัญหาให้กับหลินอิ่ง ถูกฆ่าในขณะประลองบูโด ยังจะให้ฉันไปกล่าวโทษหลินอิ่งอีก?”

พอได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ สีหน้าของหลินเสวียนหมิงถึงกับแดงก่ำ แล้วพูดขึ้นมาว่า “แม่เฒ่า ผมคิดไม่รอบคอบเอง”

“หลินอิ่ง เดี๋ยวฉันจะมอบหมายงานให้แกนะ”

“ฉันเหนื่อยแล้ว พวกแกออกไปกันเถอะ ตาใหญ่อยู่ต่อ ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับแก”

แม่เฒ่าพิงไปที่พนักเก้าอี้ปรมาจารย์ พูดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็พากันออกจากห้องโถงหมด มีเพียงผู้อาวุโสหลินเสวียนคุนอยู่ต่อ

หลังจากรอคนจากไปกันหมดแล้ว แม่เฒ่าก็ถามขึ้นมาว่า “เสวียนคุน หลินอิ่งเด็กคนนี้ แกเห็นว่ายังไง?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท